เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อนจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดี บนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา เรียนรู้เพิ่มเติม
เราตั้งใจคัดสรรแบรนด์เนมมาเพื่อคุณ
ITEM FOR YOU
TRADE MY BAG
รับเปลี่ยนคืนสินค้าที่ซื้อแล้วเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาซื้อ เพื่อนำกลับไปช้อปสินค้าต่อ
บล็อกแฟชั่นชั้นนำที่จะทำให้คุณประทับใจ
BLOG FOR ALL
4 กระเป๋าซิปติดพวงกุญแจลายโมโนแกรมที่น่าจับตามอง กระเป๋าซิปติดพวงกุญแจลายโมโนแกรมเป็นไอเท็มที่ผสมผสานระหว่างความหรูหราและการใช้งานได้อย่างลงตัว ไม่เพียงแต่ช่วยเก็บรักษากุญแจและของชิ้นเล็ก ๆ อย่างปลอดภัย แต่ยังเสริมสไตล์ให้กับผู้ใช้งานด้วยลวดลายโมโนแกรมที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ ในบทความนี้ SF Brandname จะพาคุณไปรู้จักกับ 4 กระเป๋าซิปติดพวงกุญแจลายโมโนแกรมที่น่าสนใจ ซึ่งจะเป็นทั้งเครื่องประดับและผู้ช่วยในการจัดระเบียบสิ่งของของคุณ DiorTravel Myrte Zipped Key Case กระเป๋าใส่กุญแจแบบมีซิป DiorTravel Myrte เป็นดีไซน์ที่หรูหราและใช้งานได้จริง ผลิตจากผ้า Dior Oblique jacquard สีน้ำเงิน ดีไซน์อเนกประสงค์เน้นเส้นโค้ง มีตะขอเกี่ยวและซิปที่แข็งแรง กระเป๋าใบนี้ใส่กุญแจและบัตรเครดิตได้ และยังสามารถใช้ร่วมกับชิ้นอื่นๆ จากไลน์ DiorTravel ได้อีกด้วยขนาด 12.6 x 7.6 x 0.7 เซนติเมตร (5 x 3 x 0.5 นิ้ว) ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 15,000 บาท Goyard Senat Nano Key Pouch เป็นกระเป๋าซิปขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อเก็บกุญแจและของชิ้นเล็กๆ อย่างมีสไตล์ กระเป๋ารุ่นนี้มีจำหน่ายใน 11 สีที่หลากหลาย มีช่อง D-ring ด้านในและระบบปิดแบบซิป ช่วยให้เก็บกุญแจได้อย่างปลอดภัย ขนาดที่เหมาะมือเหมาะสำหรับใส่บัตร เหรียญ หรือป้ายต่าง ๆ ราคาจำหน่ายประมาณ 21,000 บาท สินค้าเครื่องหนังขนาดเล็กของ Goyard ตั้งชื่อตามถนนและอนุสรณ์สถานอันเป็นสัญลักษณ์ในปารีส กระเป๋าใส่กุญแจ Sénat Nano ตั้งชื่อตามวุฒิสภาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสถาบันนิติบัญญัติที่เป็นศูนย์กลางของระบบการเมืองฝรั่งเศส ตั้งอยู่ในสวนลักเซมเบิร์ก Gucci GG Emblem Key Case คอลเล็กชัน GG Emblem ตีความลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ผ่านความคิดสร้างสรรค์และฟังก์ชันใหม่ๆ และคาดว่าจะได้รับการดูแลรักษาไปอีกหลายปี กระเป๋าใส่กุญแจสีเบจและน้ำตาลเข้มนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์เสริมขนาดเล็กรุ่นล่าสุด ผลิตจากผ้า GG Monogram ใหม่ มีตัวล็อกแบบซิปพร้อมตัวล็อกหนัง ด้านในมีขอเกี่ยวสำหรับพวงกุญแจ ตัดเย็บจากผ้าเคลือบลาย GG Monogram ใหม่สีเบจและน้ำตาล ขอบหนังสีน้ำตาล ซับในผ้าทาฟเฟต้ าสีเขียวและแดงด้านใน มีขอเกี่ยวสำหรับพวงกุญแจ ตัวล็อกแบบซิปพร้อมตัวล็อกหนัง ซิปหนังยังช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวกระเป๋าด้วยผ้าแคนวาสขนาด 13 x 7 เซนติเมตร ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาท Louis Vuitton Pochette Clé Key Pouch กระเป๋า Key Pouch ตัดเย็บจาก Monogram แคนวาสอันเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ ให้ลุคสนุกสนานทว่าเป็นแอคเซสเซอรี่ที่ใช้งานได้หลากหลายนอกจากใส่กุญแจ ไม่ว่าจะเป็นการใส่เหรียญ บัตร ธนบัตรแบบพับ ไปจนถึงของชิ้นเล็ก ๆ ปิดได้แน่นหนาด้วยซิปสลักตัวอักษร LV โดยสามารถเกี่ยวกับห่วงรูปตัว D ด้านในกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง หรือจะใช้เป็นกระเป๋าหรือเป็นชาร์มห้อยเข็มขัดก็ย่อมได้ ขนาดอยู่ที่ 12 x 7 x 1.5 เซนติเมตร (5.3 x สูง 2.7 x กว้าง 0.6 นิ้ว) ตัดเย็บจากผ้าใบลวดลาย Monogram คลาสสิก ภายในบุหนังคาวไฮด์ลายเกรน ฮาร์ดแวร์สีทอง มีระบบปิดแบบซิป ห่วงคล้องลูกกุญแจ สายโซ่พร้อมตะขอเกี่ยว ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 12,100 บาท กระเป๋าซิปติดพวงกุญแจลายโมโนแกรมไม่เพียงแต่เป็นอุปกรณ์เสริมที่ช่วยจัดระเบียบสิ่งของชิ้นเล็กๆ อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงสไตล์และรสนิยมของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว ด้วยการผสมผสานระหว่างฟังก์ชันการใช้งานและดีไซน์ที่โดดเด่น ทำให้กระเป๋าเหล่านี้เป็นไอเท็มที่ควรค่าแก่การมีไว้ในครอบครอง และทั้งหมดนี้คือ 4 กระเป๋าซิปติดพวงกุญแจลายโมโนแกรมที่น่าจับตามอง จาก SF Brandname
รวมแฝดคนละฝา แบรนด์ไหนชนแบรนด์ไหนบ้าง มาดูกัน คุณเคยไหม ? เดินผ่านใครบางคนแล้วต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง เพราะกระเป๋าที่เขาสะพายอยู่ ช่างดูคุ้นตาเสียเหลือเกิน ในโลกของแฟชั่น ดีไซน์ที่ “คล้ายแต่ไม่เหมือน” มักเป็นประเด็นที่สร้างความสนุกให้กับสายแฟฯ และเหล่านักสะสมอยู่เสมอ โดยเฉพาะในวงการกระเป๋าแบรนด์เนม ที่บางครั้งแบรนด์ดังหลายแบรนด์ก็เผลอออกแบบกระเป๋าให้มีเส้นสายหรือรูปทรงที่เหมือนกันจนน่าแปลกใจ จนบางใบดูราวกับเป็น “แฝดคนละฝา” แบบไม่มีนัดหมาย บทความนี้จะพาคุณไปเปิดโลกของ กระเป๋าแบรนด์เนมที่มีดีไซน์คล้ายกันอย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเพราะแรงบันดาลใจเดียวกัน เทรนด์โลกที่กำลังมา หรือการดีไซน์ในยุคสมัยใกล้เคียงกัน ทุกคู่ที่เรานำมาวันนี้ ล้วนมีความเหมือนที่คุณอาจไม่เคยสังเกต และความต่างที่ทำให้มันโดดเด่นอย่างมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง คู่ที่ 1 : Louis Vuitton Alma VS Balenciaga Villa Bag ชื่อแรก = Squire Bag ค.ศ. 1934ชื่อที่สอง = Champs-Elysees ค.ศ. 1950ชื่อที่สาม = Alma ค.ศ. 1992 ความลงตัวด้านดีไซน์ที่ถูกพิสูจน์มาแล้วผ่านการเวลากว่า 89 ปี โดยเราจะมาเริ่มต้นที่ Louis Vuitton Alma กันก่อน ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1934 เป็นปีที่ Alma เริ่มวางจำหน่ายเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ “Squire Bag” ก่อนที่จะมีการปรับปรุงโฉมอีกครั้งในปี ค.ศ. 1950 และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “Champs-Elysées” และ อีกครั้งในปี ค.ศ. 1992 ชื่อ "Alma" ถูกตั้งให้กับกระเป๋ารุ่นนี้อย่างเป็นทางการ จนถึงปัจจุบัน โดยตั้งชื่อตามสะพานซึ่งเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในมหานครปารีส ประเทศฝรั่งเศส นั่นก็คือ สะพาน Pont de l’Alma การออกแบบที่มีดีไซน์ ตัวกระเป๋ารูป Domed Shape ซิปปากกระเป๋าที่สามารถรูดเปิด-ปิดได้สุดจรดก้นกระเป๋า โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากศิลปะจากยุค Art Deco พร้อมช่องใส่ของขนาดใหญ่ อีกทั้งยังสามารถล็อคกระเป๋าได้ด้วยตัวล็อค เป็นกระเป๋าที่สื่อให้นึกถึงต้นกำเนิดธุรกิจเริ่มแรกของ Louis Vuitton จากการเป็นผู้ผลิตสิ่งทอและหีบสำหรับเดินทาง ทำให้มันได้รับความนิยมแซงหน้ากระเป๋ารุ่นพี่อย่าง Keepall และ Noé ไปในทันที และได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวกันว่า กระเป๋ารุ่น Alma ได้พื้นฐานการออกแบบมาจากการสั่งทำกระเป๋าแบบพิเศษ โดยเจ้าแม่วงการแฟชั่นอย่าง Coco Chanel ทุกวันนี้เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกระเป๋ารุ่นนี้ แม้ว่าจะเป็นมือใหม่ในวงการแฟชั่นก็ตาม ราคาจำหน่ายของ Louis Vuitton Alma มือหนึ่งอยู่ที่ 64,000 บาท ราคาจำหน่ายในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสอง อยู่ที่ประมาณ 35,xxx บาท (ขึ้นอยู่กับรุ่น ขนาด สภาพ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มาพร้อมกับตัวกระเป๋า) เปิดตัวครั้งแรก = ค.ศ. 2018มีให้เลือก 3 ขนาด = M , S และ XXS The Ville Bag ถือได้ว่าเป็นกระเป๋าที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสุภาพสตรีผู้รู้ซึ้งว่าสไตล์การออกแบบและฟังก์ชั่นการใช้งานที่คุ้มค่ามันเป็นของคู่กัน มันถูกออกแบบให้มีรูปโค้งมนสวยงาม ดั่งเช่นเรือนร่างของหญิงสาว เป็นกระเป๋า Everyday bag ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกายของคุณตั้งแต่ดื่มกาแฟยามเช้าไปจนถึงกระทั่งออกเดทยามค่ำคืน เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2018 รูปทรงคลาสสิก จิตวิญญาณเหนือกาลเวลา และทันสมัยในด้านประโยชน์ใช้สอย เป็นกระเป๋าที่สร้างความประทับใจได้ทันที Ville ตัดเย็บด้วยหนังลูกวัวลายเกรนอย่างโดดเด่น โดยมีให้เลือก 3 ขนาดหลักๆ คือ M, S และ XXS วางจำหน่ายในขนาดเล็กและขนาดใหญ่ (มี/ไม่มีโลโก้พิมพ์) มีวางจำหน่ายพร้อมเฉดสีที่หลากหลาย ตั้งแต่ความสดใสมีชีวิตชีวาไปจนถึงความละเอียดอ่อนและคลาสสิก นอกจากนี้ The Ville ยังนำเสนอดีไซน์แบบมินิมอล ซึ่งเหมาะสำหรับการสะพายไหล่และสะพายข้างอีกด้วย ตัวกระเป๋ารูป Domed Shape ภายในประกอบด้วยช่องขนาดใหญ่และช่องซิป เพื่อจัดเก็บสิ่งของได้อย่างง่ายดาย ซิปมีปม่กุญแจสำหรับล็อคกระเป๋า ด้านหลังของกระเป๋ามีช่องขนาดเล็กเพื่อความสะดวกในการจับเก็บสิ่งของชิ้นเล็ก ๆ ฮาร์ดแวร์สีทองช่วยเสริมความสวยงาม หมุดโลหะใต้กระเป๋าป้องกันพื้นกระเป๋าสึกหรอสายสะพายไหล่แบบปรับได้และถอดออกได้เพิ่มสไตล์ที่หลากหลาย ราคาจำหน่ายของ Balenciaga Villa Bag มือหนึ่งอยู่ที่ 75,600 บาท ราคาจำหน่ายในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสอง อยู่ที่ประมาณ 32,900 บาท คู่ที่ 2 : LV Multi Pochette Accessoires VS Prada Re-Edition 2005 Nylon Bag เปิดตัวครั้งแรก = ค.ศ. 1992Pochette = ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึงกระเป๋าถูกปัดฝุ่นและตีความใหม่ = เป็นกระเป๋ารุ่น Multi Pochette Accessoires Louis Vuitton Pochette Accessoires เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992 เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความสวยงามแบบมินิมอลและรูปทรงที่ใช้งานได้จริง คำว่า "Pochette" ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง 'กระเป๋า' รวมกันเป็น "กระเป๋าสี่เหลี่ยมที่ถือโดยสายสะพายไหล่ที่ถอดออกได้" กระเป๋ามีจำหน่ายในผ้าใบลายโมโนแกรมที่เป็นซิกเนเจอร์ในช่วงแรก และต่อมาจึงมีลวดลายต่าง ๆ เพิ่มเติมรวมถึงรุ่นพิเศษที่เกิดจากการร่วมมือกับศิลปินและเหล่าผู้มีชื่อเสียงหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น Takashi Murakami, Stephen Sprouse หรือ Urs Fischer ต่อมา ในปี ค.ศ. 2019 ได้นำกระเป๋ารุ่นตำนานนี้ มาปัดฝุ่นและตีความใหม่ เพิ่มเติมด้วยประโยชน์ใช้สอยที่มากขึ้น ภายใต้ชื่อรุ่น Multi Pochette Accessoire ที่ผสมผสานความคลาสสิกของ Louis Vuitton และแสดงถึงงานฝีมือที่แม่นยำของ Maison ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากทันทีหลังจากที่เปิดตัว ด้วยสไตล์สตรีทแวร์ ความอเนกประสงค์ของกระเป๋าทำให้สามารถปรับให้เข้ากับการแต่งตัวแนวต่าง ๆ ได้มากกว่าหนึ่งวิธี Multi Pochette Accessoires เป็นกระเป๋าสะพายข้างแบบไฮบริดที่มีกระเป๋าและช่องใส่ของหลายช่องที่รวม Pochette Accessoires, Mini Pochette Accessoires และ Round Coin Purse ตัดเย็บจากผ้าแคนวาสลายโมโนแกรมพร้อมลายโมโนแกรมขนาดเล็กที่ด้านข้างของกระเป๋าทั้งสองใบ มีทั้งสายโซ่สีทองแบบถอดได้และสายรัด Jacquard สลักชื่อ Louis Vuitton แบบปรับได้เพื่อให้สะพายได้หลายแบบ นับได้ว่าจ่ายแค่หนึ่ง แต่ได้กระเป๋าถึง 3 ใบเลยทีเดียว ราคาจำหน่ายของ Multi Pochette Accessoires อยู่ที่ 84,000 บาท แรงบันดาลใจ = กระเป๋าโฮโบใบจิ๋วRe-Nylon = ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลถูกนำมาตีความใหม่ = ค.ศ. 2019 กระเป๋าสะพาย Prada Re-Edition 2005 ได้รับแรงบันดาลใจจากกระเป๋าโฮโบใบจิ๋วอันเป็นเอกลักษณ์ ทำจาก Re-Nylon เส้นด้ายไนลอนที่สร้างใหม่ (ECONYL®) ที่ผลิตจากขยะพลาสติกรีไซเคิลที่เก็บรวบรวมในมหาสมุทร อวนจับปลา และเศษเส้นใยสิ่งทอ กระเป๋าอเนกประสงค์ใบนี้ตกแต่งด้วยหนัง Saffiano ฮาร์ดแวร์โลหะสีเงิน มาพร้อมกับกระเป๋าแบบถอดได้ขนาดเล็กติดกับสายสะพายไหล่ และสายสะพายไนลอนทอพิมพ์โลโก้ขนาด 85 เซนติเมตร ถอดออกได้ปรับได้ กระเป๋า Prada Re-Edition 2005 ถูกนำมาตีความใหม่ และเปิดตัวในปี ค.ศ. 2019 หลังจากเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1979 กระเป๋าผ้าไนลอนที่คนทั้งโลกต่างก็คลั่งไคล้ สำหรับความหรูหราของกระเป๋ารุ่นนี้ คุณจะทราบได้อย่างแน่นอนว่าเป็นของ Prada เนื่องจากมีการประทับตราทุกที่บนกระเป๋า โลโก้อยู่ที่ด้านหน้ากระเป๋า ตัวกระเป๋า พวงกุญแจ และด้านในกระเป๋า มันยังสลักคำว่า “Prada” ไว้อย่างละเอียดบนสายสะพายไหล่อีกด้วย ความหรูหรามาบรรจบกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย เป็นเทรนด์ใหม่ของกระเป๋าสะพายข้างที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประโยชน์ใช้สอย นับว่า Prada Re-Edition 2005 เป็นหนึ่งในกระเป๋าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ต้องขอบคุณความพยายามของ Prada ที่จะเจาะเข้าไปในจุดตัดของแฟชั่นชั้นสูงและถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับแฟชั่นเฮาส์สุดหรูของอิตาลี ราคาจำหน่ายของ Prada Re-Edition 2005 Nylon Bag อยู่ที่ 73,xxx บาท คู่ที่ 3 : Goyard Saint Louis Tote Bag VS Louis Vuitton Neverfull เปิดตัวครั้งแรก = ช่วงทศวรรษที่ 1930ที่มาของชื่อรุ่น = พระนามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 Saint Louis Goyard เป็นกระเป๋าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และถือได้ว่าเป็นกระเป๋ารุ่นที่สร้างรายได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของแบรนด์ Goyard เลยทีเดียว ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1930 ปัจจุบัน มีจำหน่ายทั้งหมด 2 ขนาดได้แก่ PM, GM และ XXL (ขนาด XXL เปิดตัวในปี ค.ศ. 2018) พร้อมกระเป๋าใบเล็ก ซึ่งถอดออกได้ โดยกระเป๋า Saint Louis ขนาด PM และ Saint Louis ขนาด GM เป็นขนาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด Saint Louis Tote ถือได้ว่ากระเป๋ารุ่นนี้เป็นรุ่นคลาสสิคของแบรนด์ โดยชื่อของกระเป๋ามีที่มาจากพระนามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 (King Louis IX) ของประเทศฝรั่งเศส ด้วยสไตล์การออกแบบที่เรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความความสสิคและหรูหรา รวมทั้งจุดเด่นด้วยกระเป๋าที่มีน้ำหนักเบา ทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง วัสดุที่นำมาตัดเย็บกระเป๋าเป็นวัสดุผ้าใบ Canvas ที่มีชื่อเรียกว่า “Goyardine” ซึ่งเป็นผ้าใบที่เป็นการผสมผสานระหว่างผ้าฝ้าย (Cotton), ผ้าลินิน (Linen) และ ผ้าป่าน (Hemp) ทำการเคลือบกระเป๋าด้วยเทคนิคพิเศษของโกยาร์ เพื่อความแข็งแรงทนทาน อีกทั้งยังสามารถกันน้ำได้ (Wateproof) จุดเด่นของกระเป๋ารุ่นนี้ คือ มีปากกระเป๋าที่เปิดกว้างและภายในขนาดใหญ่ มาพร้อมกับ Detachable Pochette สำหรับ The Saint Louis Tote มีสีคลาสสิคทั้งหมด 2 สี คือ ผ้าใบสีดำขอบสีดำ (Black/Black) และ ผ้าใบสีดำขอบสีน้ำตาล (Black/Tan) อีกทั้งยังมีสีพิเศษอีก 9 สี คือ สีขาว (White), ฟ้า (Light Blue), สีเหลือง (Yellow), สีแดง (Red), สีส้ม (Orange), สีแดงเบอร์กันดี (Burgundy), สีเขียว (Green), สีเทา (Grey) และสีน้ำเงิน (Navy) รวมถึงสี Limited Edition อย่างสีชมพู (Pink) ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2008 ราคาจำหน่ายของ Saint Louis Tote อยู่ที่ 80,000 บาท ความหมายของชื่อกระเป๋า = ไม่มีวันเต็มเวลาในการผลิตกระเป๋า 1 ใบ = ใช้เวลาตัดเย็บนานถึง 45 ชั่วโมงปีที่เปิดตัว = ค.ศ. 2007 Louis Vuitton Neverfull หรือแปลตรงตัวว่า "ไม่มีวันเต็ม" อีกหนึ่งกระเป๋าที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ มีข่าวลือเบื้องต้น ว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อแข่งขันกับ Goyard Saint Louis tote แต่ทว่าข่าวลือเหล่านี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ งานฝีมือของ Neverfull นั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง โดยกระเป๋า 1 ใบ จะใช้เวลาในการตัดเย็บนานถึง 45 ชั่วโมง รวมถึงราคาจำหน่ายในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสอง ที่สูงถึง 65-80% เลยทีเดียว ดีไซน์การออกแบบที่เรียบง่าย แต่พ่วงด้วยประโยชน์ใช้สอยที่เต็มเปี่ยม จึงกลายเป็นหนึ่งในกระเป๋าที่เป็นที่ใฝ่ฝันของคุณผู้หญิงไปโดยปริยาย ด้านนอกของกระเป๋า ตัดเย็บจากวัสดุผ้าใบ Canvas คุณภาพสูง ด้านในบุด้วยผ้าชั้นดี ซึ่งเราสามารถแบ่ง Neverfull ออกได้เป็น 2 รุ่นคือ รุ่นที่ผลิตในช่วงปี ค.ศ. 2007-2014 และรุ่นที่ผลิตในปี ค.ศ. 2014-ปัจจุบัน ซึ่งในรุ่นปี 2014 จะมาพร้อมกับกระเป๋าใบเล็ก (Pouch) โดยทั้ง 2 รุ่นมีรายละเอียดที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กระเป๋าถูกออกแบบมาด้วยกันทั้งหมด 3 ขนาดด้วยกัน คือ ขนาดเล็กสุด PM (Petite Modele) ขนาดกลาง MM (Moyen Modele) และขนาดใหญ่ GM (Grand Modele) เป็นทางเลือกให้กับสาว ๆ ได้มีโอกาสเลือกกระเป๋าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง โดยขนาดที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ขนาด MM หรือ ขนาดกลาง ราคาจำหน่ายของกระเป๋า Louis Vuitton Neverfull อยู่ที่ 66,500 บาท คู่ที่ 4 : Saint laurent le 5 à 7 smooth leather VS Gucci ophidia brown small handbag เปิดตัวครั้งแรก = Collection Spring-Summer 2021ผลงานสร้างสรรค์ของ = Anthony Vaccarelloความหมายของชื่อรุ่น LE 5 A 7 = Happy Hour ช่วลเวลาแห่งความสุข Le 5 a 7 hobo เปิดตัวครั้งแรก ในงานแสดงแฟชั่นโชว์ YSL Spring/Summer 2021 สร้างสรรค์โดย Anthony Vaccarello ดีไซเนอร์ชาวอิตาลี ซึ่งเป็น Creative Director ของ YSL คนปัจจุบัน เช่นเดียวกับผลงานสร้างสรรค์หลาย ๆ ชิ้นของ Vaccarello "Le 5A7" ในภาษาฝรั่งเศสอ่านว่า Le Cing a Sept ซึ่งมีความหมายว่าช่วงเวลา Happy Hour หมายถึงกระเป๋ารุ่นนี้ สามารถใช้เป็นเพื่อนคู่ใจในวันสบาย ๆ หลังเลิกงาน ลุยได้ทั้งงานปาร์ตี้หรือสังสรรค์ 5 a 7 โดดเด่นด้วยเส้นสายที่สะอาดตาและรายละเอียดที่เงียบขรึม มันอาจจะอธิบายได้ดีที่สุดว่าเป็นการผสมผสานระหว่างกระเป๋าทรง Hobo กับกระเป๋าบาแก็ตต์ในยุค 1990 สายสะพายไหล่แบบปรับได้ช่วยให้คุณกำหนดความยาวได้ตามความสูงและความชอบของคุณ ภายในกระเป๋าบุด้วยหนังกลับหรือหนังและมีช่องซิปหนึ่งช่อง การตกแต่งของกระเป๋าเน้นความเรียบง่าย โดดเด่นด้วยอะไหล่ YSL เอกลักษณ์ของแบรนด์ เป็นตัวเปิดปิดกระเป๋า ซึ่งทำจากวัสดุทองสัมฤทธิ์ Saint laurent le 5 à 7 มีหกขนาด ได้แก่ Mini, Standard, Soft Small, Soft Medium, Hobo และ Crossbody โดยขนาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือขนาด Standard ราคาจำหน่ายของ Saint laurent le 5 à 7 อยู่ที่ 77,000 บาท เปิดตัวครั้งแรก = ช่วงยุค 1990sรังสรรค์โดย = Guccio Gucci คอลเลกชั่นเฮาส์สานต่อแนวคิดที่ว่าชิ้นงานควรเป็นอมตะและไม่ใช่แค่แฟชั่นในฤดูกาลเดียว โมโนแกรมตลอดกาลของ Guccio Gucci ยังคงเสริมการออกแบบใหม่ด้วยพลังความคลาสสิกของโลโก้ กระเป๋าถือรุ่น Ophidia จาก Gucci รุ่นนี้ นำเสนอบนผืนผ้าใบ GG Supreme อันเก่าแก่ พร้อมด้วยฮาร์ดแวร์ Double G อันเป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมกับสายสะพายสามารถปรับระดับได้ ขนาดความยาว 7.5 นิ้ว ขนาดกะทัดรัดที่สื่อถึงยุค 90 ได้เป็นอย่างดี ราคาจำหน่ายของ Gucci ophidia small handbag อยู่ที่ 45,000 บาท คู่ที่ 5 : Celine Teen Triomphe Classic VS Loewe Basket Bag ไอเท่มยอดฮิตที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับหน้าร้อน ก็คือกระเป๋าสาน อันเป็นไอเท่มเด็ดตลอดกาล ไม่ว่าจะกี่ปี กี่ซีซั่น ยังไงก็ต้องมี นอกจากจะให้ฟีลลิ่งของความเป็นซัมเมอร์แล้ว ยังสามารถแมชกับทุกลุคการแต่งตัวอีกด้วย สำหรับแบรนด์ Celine ได้ออกกระเป๋าสานออกมาหลายรุ่น แต่รุ่นที่ได้รับความนิยมที่สุดรุ่นหนึ่งคือ CELINE Teen Triomphe Celine Classic Panier in Palm Leaves and Calfskin ตัวกระเป๋าถูกสานขึ้นจากวัสดุธรรมชาติอย่างใบปาล์ม ตกแต่งด้วยหนังลูกวัวเป็นโลโก้ Celine ที่ด้านหน้าของกระเป๋า และสายสะพาย ความเรียบง่ายที่คงความหรูหราสไตล์ Celine ราคาจำหน่ายของ CELINE Teen Triomphe Celine Classic อยู่ที่ 24,000 บาท เมื่อคุณนึกถึงกระเป๋าสาน Loewe Basket Bag จะต้องเป็นหนึ่งที่อยู่ในลิสต์ของคุณอย่างแน่นอน ด้วยสไตล์ใหม่ ๆ มากมายที่เพิ่มเข้ามาในสายผลิตภัณฑ์ จึงมีตัวเลือกมากมายไม่รู้จบทั้งขนาด โทนสี หรือแม้แต่แบบสะพายไหล่ที่นุ่มกว่า รวมถึงกระเป๋าสะพายพาดลำตัวแบบผ้าทอขนสัตว์ แม้จะเป็นที่ยอมรับกันว่าราคาค่อนข้างสูง แต่กระเป๋าทรงตะกร้าของ Loewe ก็ยังคงเป็นหนึ่งในสินค้าที่คุ้มค่าที่สุดในแบรนด์หรูสัญชาติสเปนแห่งนี้ กระเป๋าทรงตะกร้า Loewe ทอขึ้นด้วยมือจากวัสดุธรรมชาติอย่างใบปาล์ม โดยที่หูหิ้วตัดเย็บจากหนังลูกวัว คุณสามารถเปลี่ยนสายหูหิ้วด้านบนเพื่อเปลี่ยนลุคของคุณได้ ราคาจำหน่ายของ Loewe Basket Bag อยู่ที่ 18,900 บาท คู่ที่ 6 : Celine AVA Bag Medium Strap VS Fendi Small Fendigraphy เปิดตัวครั้งแรก = คอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2021สร้างสรรค์ผลงานโดย = Hedi Slimane ทรงกระเป๋า = Half Moon เปิดตัวครั้งแรกในคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2021 ของแบรนด์ Celine โดยมี Hedi Slimane ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ (Creative Director) ของ Celine ตั้งแต่ปี 2018 เป็นผู้ออกแบบ ดีไซน์ของกระเป๋า Ava ได้รับความนิยมอย่างมาก และในคอลเลกชันฤดูหนาว ปี 2023 ได้มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Ava Triomphe Bag ซึ่งยังคงเอกลักษณ์ของรุ่นดั้งเดิมไว้ แต่เพิ่มรายละเอียดของโลโก้ Triomphe อันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์เข้าไป Celine Medium Ava Strap Bag ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่แฟชั่นนิสต้าและผู้ที่ชื่นชอบแบรนด์เนม ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่หรูหรา ทำให้สามารถแมตช์กับชุดได้หลากหลายสไตล์ ผู้ใช้งานหลายคนชื่นชมในความจุที่พอเหมาะและความสะดวกสบายในการใช้งาน นอกจากนี้ วัสดุหนังลูกวัวที่ใช้ยังมีความทนทานและให้สัมผัสที่นุ่มนวล เป็นหนึ่งในไอเท็มยอดนิยมจากแบรนด์ Celine ที่ผสมผสานความเรียบหรูและความทันสมัยได้อย่างลงตัว ด้วยดีไซน์ทรงโฮโบ (Hobo) ที่โค้งมนและวัสดุหนังลูกวัวคุณภาพสูง ทำให้กระเป๋ารุ่นนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและโอกาสพิเศษต่าง ๆ ตัวกระเป๋าตัดเย็บจากหนังลูกวัวเรียบ (Smooth Calfskin) ด้านในบุด้วยหนังกลับลูกวัว ตกแต่งด้วย Hardware สีทองสายสะพายสามารถปรับได้โดยมีความยาวสายตั้งแต่ 24-35 เซนติเมตร ราคาจำหน่ายในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 89,000 บาท ปีที่เปิดตัว = คอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2022ออกแบบโดย = Kim Jones ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Fendi ในขณะนั้นรูปทรงของกระเป๋า = Half Moon กระเป๋า Fendi Small Fendigraphy เป็นหนึ่งในไอเท็มที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากแบรนด์ Fendi โดยเปิดตัวครั้งแรกในคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน ปี 2022 ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Kim Jones ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Fendi ในขณะนั้น รูปทรงและดีไซน์ กระเป๋ามีรูปทรงโฮโบ (Hobo) แบบพระจันทร์เสี้ยวที่โค้งมน พร้อมตกแต่งด้วยโลโก้ "FENDI" ขนาดใหญ่ที่ฐานกระเป๋า ซึ่งทำจากโลหะสีทองวินเทจ ผลิตจากผ้าแจ็คการ์ดลาย FF สีดำ-น้ำตาล พร้อมรายละเอียดหนังลูกวัว และซับในผ้า มีสายหนังที่สามารถปรับความยาวและถอดออกได้ พร้อมตะขอสำหรับติดสายสะพายยาวเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถสะพายแบบ crossbody ได้ ขนาด 29 x 24.5 x 10 เซนติเมตร มีให้เลือกหลากหลายสี เช่น สีดำ, น้ำตาล, ขาว, ฟ้าอ่อน, ชมพู และรุ่นพิเศษที่มีการตกแต่งด้วยลวดลายหรือวัสดุพิเศษ กระเป๋า Fendi Small Fendigraphy ได้รับความนิยมในหมู่แฟชั่นนิสต้าและคนดังหลายคน เนื่องจากดีไซน์ที่โดดเด่นและสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสะพายไหล่หรือสะพายข้าง ทำให้เป็นไอเท็มที่เหมาะสำหรับทั้งการใช้งานประจำวันและโอกาสพิเศษต่าง ๆ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 78,200 บาท คู่ที่ 7 : 30 Montaigne Call'in Dior Phone Holder VS Louis Vuitton Double Pouch NM ปีที่เปิดตัวครั้งแรก : ค.ศ. 2019ออกแบบโดย : Maria Grazia Chiuri ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Diorแรงบันดาลใจในการออกแบบ : ที่อยู่ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่ 30 Avenue Montaigne ในกรุงปารีส Dior 30 Montaigne Phone Holder เป็นหนึ่งในไอเท็มที่ผสมผสานความหรูหราและความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพกพาโทรศัพท์มือถือและของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยไม่ละทิ้งสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Dior ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่แฟชั่นนิสต้าและผู้ที่ชื่นชอบแบรนด์เนม ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่หรูหรา สามารถแมตช์กับชุดได้หลากหลายสไตล์ ผู้ใช้งานหลายคนชื่นชมในความจุที่พอเหมาะและความสะดวกสบายในการใช้งาน นอกจากนี้ วัสดุที่ใช้ยังมีความทนทานและให้สัมผัสที่นุ่มนวล เคสใส่โทรศัพท์ 30 Montaigne Call'in Dior นั้นทั้งทันสมัยและชาญฉลาด เคสนี้ประดิษฐ์จากผ้าแจ็คการ์ด Dior Oblique สีน้ำเงิน พร้อมลายเซ็นซีดีที่ด้านหน้า สามารถถือโทรศัพท์ด้วยมือหรือสะพายข้างก็ได้ เนื่องจากมีหูหิ้วด้านบนและสายโซ่ มีลายเซ็นซีดีที่ด้านหน้า เปิด-ปิดด้วยซิปสองทาง หูหิ้วหนังด้านบนแบบถอดออกได้ สายโซ่แบบถอดออกได้ ช่องใส่บัตรสามช่อง นับว่าเป็นกระเป๋าเอนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 40,000 บาท เปิดตัวครั้งแรก : ปี ค.ศ. 2022สร้างสรรค์ผลงานโดย : Virgil Abloh ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Louis Vuitton ในขณะนั้น กระเป๋า Louis Vuitton Double Phone Pouch NM เป็นไอเท็มที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการพกพาโทรศัพท์มือถือและของใช้จำเป็นอื่น ๆ อย่างมีสไตล์ กระเป๋าใส่โทรศัพท์แบบ 2 ชั้น NM เป็นกระเป๋าใส่สมาร์ทโฟน หูฟัง บัตรเครดิต และของใช้ส่วนตัวขนาดเล็กอื่น ๆ ที่ทันสมัย ผลิตจากหนัง Monogram Shadow สีดำสุดหรู ให้ลุคสปอร์ตทันสมัย สามารถใช้เป็นกระเป๋าสตางค์ได้โดยไม่ต้องมีสายสะพายถอดได้ กระเป๋าใบนี้เหมาะมากสำหรับผู้ชายที่ต้องการโทรศัพท์หลายเครื่อง มาพร้อมกับขนาด 11 x 18 x 8 เซนติเมตร หนัง Monogram Shadow สีดำ แต่งขอบด้วยหนังวัว ซับในทำจากผ้า ฮาร์ดแวร์สีดำ สายสะพายแบบ Signature เปิด-ปิดกระเป๋าด้วยซิป ปิดด้วยแผ่นพับพร้อมแม่เหล็กซ่อนอยู่ สายสะพายสามารถถอดและปรับได้ ความยาวระหว่าง 32 - 51 เซนติเมตร Double Phone Pouch NM ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ต้องการกระเป๋าขนาดกะทัดรัดแต่สามารถจุของได้หลากหลาย ด้วยดีไซน์ที่เรียบหรูและวัสดุคุณภาพสูง ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและโอกาสพิเศษต่าง ๆ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 59,000 บาท ใครจะไปคิดว่ากระเป๋าแบรนด์เนมระดับโลก จะมีบางรุ่นที่ "หน้าคล้าย" กันได้จนต้องหันขวับ! การออกแบบที่สะท้อนยุคสมัยเดียวกัน เทรนด์ที่กำลังมาแรง หรือแม้แต่แรงบันดาลใจที่บังเอิญตรงกัน ล้วนทำให้เรามองเห็นเสน่ห์ของ “แฝดคนละฝา” เหล่านี้ได้อย่างสนุกสนานทุกใบล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจน เพียงแค่ใส่ใจในดีเทล ก็จะพบว่า “ความเหมือน” นั้น แท้จริงแล้วแฝงไปด้วย “ความต่าง” ที่น่าหลงใหล เพราะแฟชั่นคือเรื่องของมุมมอง แล้วคุณล่ะ? แยกแฝดออกจากกันได้หรือยัง
10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ พร้อมราคาอัปเดต สำหรับใครที่กำลังมองหากระเป๋าแบรนด์เนมใบแรกแต่มีงบจำกัด SF Brandname เราได้คัดสรร กระเป๋า 10 รุ่น ยอดฮิตจากแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Gucci, Prada, Saint Laurent, Celine และ Dior ที่ทั้งดีไซน์สวย ใช้งานง่าย เหมาะกับมือใหม่สุด ๆ ซึ่งกระเป๋าเหล่านี้นอกจากดีไซน์หรูหราแล้ว ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะสมกับชีวิตประจำวัน ใส่ของจำเป็นได้ครบ รวมทั้งราคาที่จับต้องได้ อีกทั้งบางรุ่นยังเป็นรุ่นคลาสสิก คุ้มค่าสำหรับการลงทุน ขายต่อก็ได้กำไร มาติดตามพร้อมกันเลยว่ากระเป๋า 10 รุ่นที่ว่า มีรุ่นไหนกันบ้าง 10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก 1. Louis Vuitton Speedy Bandoulière 30 แบรนด์ : Louis Vuitton (หลุยส์ วิตตอง)รุ่น : Speedy Bandoulière 30 (มีสายสะพาย) กระเป๋า Louis Vuitton Speedy ถือเป็นรุ่นคลาสสิกระดับตำนาน เปิดตัวครั้งแรกในปี 1930 และยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ดีไซน์ทรงหมอนขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ทำจากผ้าใบเคลือบลายโมโนแกรม (Monogram Canvas) ตัดแต่งด้วยหนังแท้สีอ่อน ดูหรูหราแต่ทนทาน เหมาะกับการใช้งานในทุก ๆ วัน สำหรับ Speedy รุ่น Bandoulière นั้น จะมาพร้อมสายสะพายยาวให้สะพายไหล่หรือสะพายข้างได้ เพิ่มความสะดวกคล่องตัว (ต่างจากรุ่น Speedy ปกติที่ถือได้อย่างเดียว) ถือว่าเป็นการผสมผสานความหรูและฟังก์ชันที่ลงตัว สำหรับมือใหม่ที่อยากได้กระเป๋าใบแรกที่ใช้ได้บ่อยและไม่มีวันตกยุค ราคามือหนึ่งปี 2025 : ประมาณ 71,500 บาท สำหรับขนาด 30 ลายโมโนแกรม (Speedy มีหลายขนาด เช่น 25, 30, 35 ตัวเลขคือความยาวเป็นเซนติเมตร) ราคามือสอง : อยู่ที่ราว 20,000 – 40,000 บาท ขึ้นกับสภาพและปีที่ผลิต (เช่น รุ่นวินเทจ สภาพดีราคาขายอาจอยู่ที่ประมาณ 22,900 บาท ความคุ้มค่า : Speedy เป็นกระเป๋าที่ครองใจคนทั่วโลกเกือบศตวรรษ ด้วยดีไซน์คลาสสิกไม่ตกยุค มีหลายวัสดุให้เลือก (ทั้ง Monogram, Damier และหนัง Epi) และเป็นที่ต้องการในตลาดมือสองเสมอ การได้เป็นเจ้าของกระเป๋า Speedy สักใบ ถือว่าคุ้มค่า ใช้งานทนทาน และหากดูแลรักษาเป็นอย่างดี สามารถขายต่อในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสองได้ในราคาสูงอีกด้วย 2. Louis Vuitton Neverfull MM แบรนด์ : Louis Vuittonรุ่น : Neverfull ขนาด MM (Medium) Louis Vuitton Neverfull คือกระเป๋าสไตล์โท้ท (Tote) ที่ขึ้นชื่อเรื่องจุของได้ “ไม่มีวันเต็ม” สมชื่อรุ่น เปิดตัวครั้งแรกปี 2007 และกลายเป็นกระเป๋ายอดนิยมของ LV อย่างรวดเร็ว ดีไซน์เรียบหรูเป็นกระเป๋าสะพายไหล่ทรงเปิดโล่ง มีสายหนังบาง ๆ สองเส้นที่สามารถปรับรูดด้านข้างเพื่อปรับทรงกระเป๋าได้ โดดเด่นตรงที่ใส่ของได้เยอะ น้ำหนักเบา และ สารพัดประโยชน์ มาก จะถือไปเรียน ไปทำงาน หรือไปเที่ยวก็เอาอยู่ ภายในมาพร้อม pouch กระเป๋าซิปใบเล็กที่สามารถถอดได้ (บางคนใช้เป็นกระเป๋าคล้องมือใบจิ๋วได้เลย) วัสดุมีทั้งลายโมโนแกรม, Damier (ตารางสีน้ำตาล/ขาว) และรุ่นหนังล้วน ความคลาสสิกของ Neverfull คือใช้กี่ปีก็ไม่เชย แถมทนทานสมบุกสมบันมาก เป็นกระเป๋าที่มือใหม่แบรนด์เนมทั่วโลกต้องมี ราคามือหนึ่ง 2025 : ขนาด MM ประมาณ 68,500 บาท (รุ่น PM เล็กกว่านี้ ~66,000 บาท และ GM ใหญ่สุด ~70,500 บาท) หากเป็นรุ่นลิมิเต็ดลวดลายพิเศษ ราคาจะสูงขึ้น (เริ่ม ~76,000 ไปจน 100,000+ บาท) ราคามือสอง : ประมาณ 30,000 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพและปีที่ผลิต เช่น Neverfull Damier Ebene MM สภาพสวยๆ มีขายราว 49,900 บาท และหากเป็นใบเก่ากว่า (ปีเกือบสิบปี) อาจหาได้ในช่วง 15,000 – 25,000 บาทตามสภาพ ความคุ้มค่า : Neverfull เป็นใบที่ ใช้งานง่ายสุดๆ และจุของเยอะมาก – เอกสาร โน้ตบุ๊ก ร่ม ขวดน้ำ ใส่ได้หมด การออกแบบเรียบพื้นฐานทำให้เข้าได้กับทุกลุคตั้งแต่ชุดนักศึกษาไปจนถึงสูททำงาน ถือใบเดียวเอาอยู่ทุกโอกาสจริง ๆ นอกจากนี้ LV มักปรับขึ้นราคาทุกปี กระเป๋ารุ่นฮิตอย่าง Neverfull ก็มีแนวโน้มราคาขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นซื้อมาใช้สักพักขายต่อก็แทบไม่ขาดทุน ถือว่าเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับมือใหม่ 3. Gucci GG Marmont Matelassé (Small) แบรนด์ : Gucci (กุชชี่)รุ่น : GG Marmont แบบสายโซ่ (Size Small) Gucci Marmont เป็นกระเป๋ารุ่นฮิตยุคใหม่ของ Gucci ที่เปิดตัวปี 2016 และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นคือดีไซน์ฝาปิดพร้อมอะไหล่โลโก้ตัว Double G ขนาดใหญ่แบบวินเทจ ด้านตัวกระเป๋าทำจากหนังวัวลายเย็บนูนแบบ Matelassé ลวดลายเชฟรอน (Chevron) ให้สัมผัสนุ่มมือและดูหรูหรา อะไหล่เป็นสีทองเหลืองโทนวินเทจเข้ากับโลโก้ได้อย่างลงตัว รุ่นยอดนิยมสำหรับมือใหม่คือทรง Shoulder Bag ขนาด Small ซึ่งมีสายสะพายโซ่ยาว (สามารถสะพายไหล่หรือ Crossbody ได้ โดยสายโซ่ปรับได้สองระดับ) ขนาดกำลังดีใส่มือถือ กระเป๋าสตางค์ใบยาว และของจุกจิกได้ครบ แถมมิกซ์เข้ากับชุดได้ง่ายตั้งแต่ลุคชิลในชีวิตประจำวันจนถึงชุดออกงานกลางคืน เรียกว่าทั้งสวยและเต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอยเลยทีเดียว - ราคามือหนึ่ง 2025 : ประมาณ 73,000 บาท (ราคาขึ้นกับขนาดและวัสดุ หากเป็นรุ่น Small หนังสีพื้นทั่วไปอยู่ราวนี้ ส่วนรุ่น Mini หรือ Super Mini จะถูกลงกว่านี้) - ราคามือสอง : ประมาณ 45,000 – 50,000 บาท สำหรับสภาพสวย รุ่นนี้ในตลาดมือสองมีค่อนข้างเยอะเพราะเป็นที่นิยมมาก เช่นข้อมูลปี 2024 พบว่าราคามือสองเฉลี่ยราว 46,000 บาท (ถ้าสภาพใหม่มาก ๆ หรือสียอดนิยม อาจสูงกว่านี้เล็กน้อย) - ความคุ้มค่า : GG Marmont ถือเป็นกระเป๋า It Bag แห่งยุคที่หลายคนอยากครอบครอง ความคลาสสิกของลาย Chevron และโลโก้ GG ทำให้หยิบมาใช้ได้ตลอดไม่ตกเทรนด์ การใช้งานก็สะดวก จะสะพายไปเที่ยวหรือดินเนอร์ก็เอาอยู่ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในตลาดมือสองจึงมีให้เลือกมาก ราคามือสองมักจะย่อมเยาลงกว่ามือหนึ่งประมาณ 20-30% ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับมือใหม่ที่อาจเริ่มจากเป็นเจ้าของกระเป๋า pre-owned เพื่อประหยัดงบ และหากดูแลดี เมื่อเวลาผ่านไปก็ยังขายต่อได้ในราคาสมเหตุสมผล 4. Saint Laurent (YSL) Wallet on Chain แบรนด์ : Saint Laurent (แซงต์ โลรองต์)รุ่น : Monogram Wallet on Chain (WOC) ขนาด 7.5 นิ้ว กระเป๋า Saint Laurent Wallet on Chain หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า YSL WOC เป็นกระเป๋าสตางค์มีสายโซ่ที่สามารถใช้เป็นกระเป๋าสะพายข้างได้ในตัว เรียกได้ว่าเป็นรุ่น Two-in-one ที่ทั้งสวยและใช้งานได้จริง ดีไซน์เป็นทรงซองฝาปิดขนาดกะทัดรัด ทำจากหนังลูกวัวปั๊มลายเกรน (Grained Calfskin) ที่ทนรอยขีดข่วน ด้านหน้าประดับโลโก้ตัวอักษร YSL ทำจากโลหะ (มีทั้งอะไหล่สีเงินหรือสีทองให้เลือก) ลายตะเข็บบนหนังเป็นลาย Chevron ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สุดคลาสสิกของแบรนด์ YSL ภายในจะพบช่องใส่บัตรหลายช่องและช่องซิป เหมือนกระเป๋าสตางค์ใบยาวย่อส่วน มาพร้อมสายโซ่ยาวถอดไม่ได้สำหรับสะพายไหล่/สะพายข้าง เหมาะกับใส่ของจำเป็นเช่น โทรศัพท์ มือถือรุ่นใหญ่บางรุ่นใส่ได้พอดี, เงิน, บัตร และลิปสติก เหมาะมากกับวันสบาย ๆ หรืองานที่ต้องการลุคเรียบหรูเรียบง่าย รุ่นนี้สาว ๆ วัยมหาลัยจนถึงวัยทำงานนิยมกันมากเพราะราคาไม่แรงเกินไปและสามารถใช้ได้หลากหลายโอกาส ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่น WOC ขนาดเล็ก (7.5 นิ้ว) อยู่ที่ประมาณ 59,900 บาท ส่วนขนาดใหญ่กว่า (9 นิ้ว) ราคาก็สูงขึ้นตามไป ราคามือสอง : ประมาณ 30,000 – 40,000 บาท โดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพและปี รุ่นนี้ค่อนข้างนิยมทำให้ขายต่อไม่ยาก เช่นที่ SF Brandname ราคาจำหน่ายยู่ที่ 35,900 บาท ในสภาพสวย ความคุ้มค่า : YSL WOC ถือว่าเป็นกระเป๋าที่เหมาะกะบใครที่กำลังเริ่มต้นใช้แบรนด์เนม เพราะได้ทั้งกระเป๋าสตางค์และกระเป๋าสะพายในใบเดียว วัสดุหนังทนทานไม่ต้องกลัวเป็นรอยง่าย ๆ ขนาดเล็กกำลังดี เข้าได้กับหลายลุค ตั้งแต่ลำลองจนกึ่งทางการ มือใหม่ที่ยังไม่อยากลงทุนกับกระเป๋าใบใหญ่ราคาแพง การเริ่มที่ WOC ใบนี้ถือว่าได้ใช้คุ้มค่าแน่นอน และหากต้องการขายต่อ ก็สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ 5. Saint Laurent (YSL) Lou Camera Bag แบรนด์ : Saint Laurent (แซงต์ โลรองต์)รุ่น : Lou Camera Bag (รุ่นกล้อง) YSL Lou Camera Bag เป็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมขอบมนขนาดกะทัดรัด พร้อมสายสะพายยาว ปรับความยาวได้ ดีไซน์ได้แรงบันดาลใจจากกระเป๋ากล้องถ่ายรูปวินเทจ จึงทั้งเท่และใช้งานง่ายค่ะ ตัวกระเป๋าทำจากหนังลูกวัวลายควิลท์ (quilted calfskin) ลายทางขวางและลาย Chevron ผสมกัน ดูมีมิติ ด้านหน้าประดับโลโก้ Cassandre ตัวอักษรย่อ YSL โลหะสีทองตรงกลางเด่นชัด และห้อยพู่หนังแต่งเพิ่มความเก๋ เปิดปิดด้วยซิปด้านบน ทำให้หยิบของสะดวก ปกป้องสิ่งของภายในได้เป็นอย่างดี ภายในจุได้มากกว่า WOC เยอะพอสมควร ใส่มือถือ เครื่องสำอางชิ้นเล็กๆ กุญแจ และของจิปาถะได้ครบ ใครที่มองหากระเป๋าแบรนด์เนมใบแรกที่ เรียบง่ายแต่มีสไตล์ คล่องตัว และสามารถใช้งานได้ทุกวัน Lou Camera Bag ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม (สาว ๆ วัยรุ่นและวัยทำงานช่วงต้นนิยมรุ่นนี้กันมาก เพราะราคาไม่แรงเกินไปและได้ลุคสวยชิคแบบ YSL) - ราคามือหนึ่ง 2025 : ประมาณ 60,000 – 65,000 บาท (ราคาในช็อปอเมริการาว $1,700 ซึ่งคำนวณเป็นเงินไทยราวหกหมื่นต้น ๆ) - ราคามือสอง : ประมาณ 30,000 – 40,000 บาท ขึ้นกับสภาพ รุ่นนี้มีมือสองให้เลือกเยอะเช่นกัน บางร้านค้าออนไลน์ ตั้งราคาจำหน่ายล่าสุดเริ่มต้นที่ 34,500 บาท ซึ่งถือว่าน่าสนใจมากสำหรับคนงบจำกัด - ความคุ้มค่า : ด้วยดีไซน์ที่ เรียบแต่โก้ ของ Lou Camera ทำให้ไม่ว่าจะใส่ชุดไหนก็เข้ากัน เป็นกระเป๋าสีพื้นโลโก้เด่นที่หยิบใช้ได้ทุกวันโดยไม่เบื่อ ความทนทานของหนัง YSL ก็ไว้ใจได้ สายสะพายปรับได้ช่วยให้สะพายได้ทั้งคนตัวสูงหรือตัวเล็ก อีกทั้งรุ่นนี้ยังมีหลายสีให้เลือก ใครที่อยากเพิ่มสีสันก็เลือกสีอื่นนอกจากดำได้ การลงทุนกับ YSL Lou สักใบเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะใช้ง่ายและขายต่อก็ยังนิยมอยู่เสมอ 6. Prada Re-Edition 2005 (Re-Nylon) แบรนด์ : Prada (ปราด้า)รุ่น : Re-Edition 2005 (กระเป๋าไนลอนสะพายไหล่ + สายยาว) กระเป๋า Prada Re-Edition 2005 คือการนำกระเป๋าทรงฮิตของ Prada ในปี 2005 กลับมาทำใหม่อีกครั้ง โดยใช้วัสดุไนลอนรีไซเคิล (Re-Nylon) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตกแต่งด้วยหนัง Saffiano ตามจุดต่าง ๆ ดีไซน์ทรง hobo ครึ่งวงพระจันทร์ขนาดเล็กน่ารัก มาพร้อมสายโซ่สั้นถอดได้หนึ่งเส้นสำหรับคล้องแขนเก๋ ๆ และมีสายสะพายไนลอนยาวปรับระดับได้สำหรับสะพายไหล่หรือสะพายข้าง นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นคือ กระเป๋าใบเล็กจิ๋ว ที่ติดมากับสายสะพายยาว ใช้เก็บของชิ้นเล็ก ๆ อย่างเหรียญหรือกุญแจได้ (หลายคนชอบความเก๋ตรงกระเป๋าจิ๋วนี้มาก) ขนาดกระเป๋าหลักประมาณ 22 x 18 x 6 ซม. กำลังดี ใส่สมาร์ทโฟน กระเป๋าสตางค์ใบสั้น และของจุกจิกจำเป็นได้พอดี มีให้เลือกหลายสีฮิต เช่น สีดำ (ยอดนิยมสุด), เบจ, ฟ้าอ่อน, ชมพูอ่อน เป็นต้น ด้วยดีไซน์ที่น่ารักคลาสสิกผสมความทันสมัยและวัสดุไนลอนสุดทน ทำให้รุ่นนี้กลายเป็นที่ต้องการในหมู่วัยรุ่นและคนแฟชั่นสายสตรีทเป็นอย่างมาก - ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่น Re-Edition 2005 Re-Nylon ราคาจำหน่ายในประเทศไทยประมาณ 72,000 บาท ราคามือหนึ่ง 2025 (ข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการ Prada ประเทศไทย) – หมายเหตุ : Prada ยังมีรุ่นคล้ายกันที่เป็น Re-Edition 2000 ทรงสะพายไหล่สายสั้นไม่มีสายยาว ซึ่งจะราคาถูกกว่าประมาณ 48,000 บาท แต่สำหรับมือใหม่แนะนำรุ่น 2005 ที่มีสายยาวจะใช้ได้หลากหลายกว่า - ราคามือสอง : โดยทั่วไปอยู่ในช่วง ประมาณ 30,000 – 45,000 บาท ขึ้นอยู่กับสีและสภาพ กระเป๋าไนลอนรุ่นนี้ถ้าใช้งานมาไม่หนักมาก ราคาขายต่อประมาณ 31,900 – 43,999 บาท ในตลาดมือสอง (บางใบถ้าสภาพใหม่มาก อุปกรณ์ครบ ก็อาจได้ราคาสูงกว่านี้ หรือถ้าเป็นสีหายากก็ราคาเพิ่มขึ้น) - ความคุ้มค่า : Prada Re-Edition 2005 เป็นหนึ่งในกระเป๋าที่ ใช้ง่ายสุด ๆ และกำลังมาแรง เพราะน้ำหนักเบา กันน้ำได้ระดับหนึ่ง (ตามสไตล์ไนลอน Prada) ลุคกระเป๋าดูแฟชั่นแต่ไม่เว่อร์เกินไป แมตช์กับชุดลำลองได้สนุก ใครที่อยากได้กระเป๋าแบรนด์ใบแรกที่แตกต่างไปจากกระเป๋าหนังทั่วไป รุ่นนี้ตอบโจทย์เลย แถมยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามเทรนด์ยุคใหม่อีกด้วยค่ะ ส่วนเรื่องขายต่อ ในอนาคตแม้เทรนด์จะเปลี่ยนไปบ้างแต่ด้วยความคลาสสิกของทรง hobo และความเป็น Prada ก็ยังพอขายต่อได้ราคาดีเมื่อเทียบกับราคาเปิดตัวที่ไม่แรงมาก 7. Prada Galleria Saffiano (Small Tote) แบรนด์ : Pradaรุ่น : Galleria (Small) หรือที่มักเรียกกันว่า Prada Saffiano Double Zip หากคุณเป็นมือใหม่ที่มองหากระเป๋าทรงสุภาพสำหรับถือไปทำงานหรือโอกาสทางการ Prada Galleria หรือ Prada Saffiano คือคำตอบที่ลงตัวค่ะ รุ่นนี้เปิดตัวครั้งแรกช่วงปี 2013 และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “กระเป๋าคลาสสิก” ของ Prada คู่กับรุ่น Prada Double Cuir ดีไซน์กระเป๋าเป็นทรงสี่เหลี่ยมฐานกว้าง มีความแข็งแรงทรงอยู่ตัว ทำจากหนัง Saffiano ซึ่งเป็นหนังวัวเคลือบลายไขว้อันเป็นเอกลักษณ์ของ Prada (คุณสมบัติคือทนรอยขีดข่วนและกันน้ำกระเซ็นได้ดี) รายละเอียดการออกแบบหรูหราและเน้นฟังก์ชันมาก เช่น มีช่องซิปด้านบน 2 ช่อง (Double Zip) สำหรับเก็บของสำคัญแยกต่างหาก, มีสายสะพายหนังยาวแถมมาให้ถอดเข้า-ออกได้สำหรับสะพายไหล่, หูจับคู่ทรงโค้งถือถนัดมือ มาพร้อมพวงกุญแจคล้องห้อยหนัง (clochette) ใส่กุญแจล็อก และหมุดรองฐานกระเป๋าป้องกันรอยขีดข่วนเวลาวางกระเป๋า ภายในกระเป๋ากว้างขวางและมีซับในผ้าโลโก้ Prada จัดของเป็นสัดส่วนง่าย เหมาะกับการใช้เป็นกระเป๋าทำงานที่ทั้งสวยหรูและใช้งานได้จริง ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่น Small Galleria ปัจจุบันราคาค่อนข้างสูง (อยู่ที่ประมาณ 130,000 – 150,000 บาท หรือ $4,000+ ขึ้นอยู่กับประเทศ ราคามือสอง : ในตลาดมือสองสามารถหาได้ในงบประมาณ 40,000 – 60,000 บาท เนื่องจากรุ่นนี้มีมานานและมีผู้ใช้อยู่มาก ราคามือสองจึงลดลงมาในราคาที่ใคร ๆ ก็สามารถจับต้องได้ เช่น Prada Saffiano Galleria มือสองสภาพดีบางใบราคาประมาณ $1,450 (ประมาณ 50,000 บาท) ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับมือใหม่ที่อยากได้กระเป๋าทำงานแบรนด์เนมหรู ๆ สักใบโดยไม่ต้องจ่ายราคาเต็ม ความคุ้มค่า : Prada Galleria มีจุดแข็งที่ ความคลาสสิกและสุภาพ ใช้ถือไปทำงานหรือออกงานทางการได้อย่างมั่นใจ ไม่มีเอาต์ง่าย ๆ เพราะทรงเรียบหรูดูผู้ดี เหมาะกับชุดสูทหรือเดรสเรียบร้อย อีกทั้งหนัง Saffiano ยังทนทาน ดูแลง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยขีดข่วนมากนัก ถือว่าเป็นกระเป๋าลงทุนระยะยาวที่ใช้ได้อีกหลายปี ในแง่การขายต่อ แม้ราคามือหนึ่งจะสูงและมือสองตกลงมาพอควร แต่ถ้าเราซื้อมาในราคามือสองที่ไม่แรงมาก ก็มีโอกาสขายต่อได้ใกล้เคียงทุนอยู่เหมือนกัน (โดยเฉพาะสีเบสิกอย่างสีดำที่ความต้องการสูง) สำหรับมือใหม่ที่เริ่มทำงานแล้วอยากมีกระเป๋าแบรนด์เนมใบคลาสสิกติดตู้ Prada Galleria มือสองเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียว 8. Celine Ava (Triomphe Canvas) แบรนด์ : Celine (เซลีน)รุ่น : Ava Bag (Triomphe Canvas) Celine Ava เป็นกระเป๋าทรงครึ่งวงพระจันทร์ (hobo) ขนาดเล็กของ Celine ที่มาแรงมากตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในคอลเลคชั่น Spring/Summer 2020 ภายใต้การออกแบบของครีเอทีฟไดเรกเตอร์ Hedi Slimane กระเป๋ารุ่นนี้โดดเด่นที่ดีไซน์ เรียบง่ายแต่เก๋ไก๋ แบบมินิมอลตามสไตล์เซลีน เส้นสายโค้งมนสะอาดตา ไม่มีอะไรฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น แต่กลับดูทันสมัยและชิคสุด ๆ เหมาะกับการใช้งานทุกวัน รุ่นที่ได้รับความนิยมที่สุดคือรุ่นผ้าแคนวาสลาย Triomphe สีน้ำตาล (ลายโมโนแกรมของ Celine ที่เป็นรูปแบบแม่กุญแจเกี่ยวกัน) ตัดขอบด้วยหนังสีน้ำตาล ได้ลุควินเทจเบา ๆ แมตช์กับชุดได้หลากหลายแนว จะลุคหวาน ลุคเท่ หรือลุควินเทจก็เข้าได้หมด สายสะพายเป็นแบบสั้นไว้สะพายไหล่แนบตัวหรือถือคล้องแขน (สามารถซื้อสายยาวมาเปลี่ยนเพื่อสะพายข้างได้ถ้าต้องการ) ขนาดกระเป๋ากำลังน่ารัก ใส่มือถือ กระเป๋าสตางค์ใบเล็ก และของจุกจิกอย่างกุญแจ ลิปสติกได้พอเหมาะ ถือว่าเป็น everyday bag ที่กำลังฮิตในหมู่วัยรุ่นและวัยรุ่นตอนปลายทีเดียว - ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่นผ้าใบ Triomphe ขนาด Medium ของ Ava ราคาในต่างประเทศอยู่ราว $2,000 – $2,800 หรือประมาณ 70,000 – 100,000 บาท ขึ้นกับขนาดและวัสดุ (ถ้าเป็นรุ่นผ้าใบล้วนจะถูกกว่ารุ่นหนังแท้) ดังนั้นขนาด Small แบบผ้าใบที่สาว ๆ นิยมกันมากจะอยู่ประมาณ 7 หมื่นบาทกลาง ๆ - ราคามือสอง : อยู่ที่ประมาณ 40,000 – 80,000 บาท ขึ้นกับสภาพและปีที่ผลิต โดยถ้าเป็นรุ่นผ้าใบ Triomphe มักจะอยู่ช่วงล่าง ๆ ของงบนี้ (ประมาณ 40-50k สำหรับสภาพดี) ตัวอย่างเช่นที่ SF Brandname มีจำหน่าย Celine Ava Medium มือสองสภาพสวยอยู่ที่ 37,900 – 39,900 บาท - ความคุ้มค่า : Celine Ava ขึ้นแท่น “กระเป๋าที่ต้องมี” ของสาวสายแฟตั้งแต่เปิดตัว ไต่อันดับความนิยมอย่างรวดเร็วและยังครองใจสาว ๆ มาจนตอนนี้ ด้วยรูปลักษณ์ที่ เรียบหรูแบบมินิมอล ทำให้ถือเมื่อไรก็ดูมีคลาส ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย เป็นกระเป๋าที่ใช้ได้บ่อยในชีวิตประจำวันโดยไม่เบื่อ ที่สำคัญ Celine ภายใต้การนำของ Hedi Slimane มักออกสีและลายใหม่ ๆ มาเพิ่มความน่าสนใจให้ Ava อยู่เสมอ ทำให้ตลาดมือสองคึกคักพอควร ราคาขายต่อค่อนข้างดี (โดยเฉพาะสี/ลายคลาสสิกอย่างโมโนแกรมที่ยังไงก็ขายง่าย) สรุปแล้วใครอยากเริ่มต้นกับแบรนด์ Celine รุ่น Ava ถือเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและอินเทรนด์สุด ๆ 9. Celine Luggage Tote (Nano) แบรนด์ : Celineรุ่น : Luggage Tote ไซส์ Nano Luggage Tote เป็นกระเป๋าทรงถือที่สร้างชื่อเสียงให้ Celine อย่างมาก สร้างสรรค์โดยดีไซเนอร์คนดัง Phoebe Philo เปิดตัวครั้งแรกในปี 2010 และกลายเป็นกระเป๋าใบโปรดของเหล่าเซเลบและแฟชั่นนิสต้าทันทีที่ออกมา ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ทรงสี่เหลี่ยมมีปีกข้างยื่นออกเล็กน้อย และดีไซน์ซิปกับหูจับที่มองดูคล้าย “หน้าคนยิ้ม” ทำให้ Luggage Tote เป็นที่จดจำได้ง่ายมาก ไม่มีใครเหมือน วัสดุของรุ่นนี้ส่วนใหญ่เป็นหนังลูกวัว ทั้งแบบหนังเรียบและหนังลายเกรน (grained calfskin) ซึ่งมีความคงทนแข็งแรงสูง เหมาะกับการใช้งานจริงจังตั้งแต่เช้าจรดเย็น สำหรับมือใหม่ ขนาดที่แนะนำคือ Nano (ขนาดเล็กสุด) เพราะมาพร้อมสายสะพายยาวถอดได้ สามารถสะพายข้างเพิ่มความคล่องตัวได้ นอกจากถือที่หูจับแบบเก๋ ๆ ขนาด Nano ใส่ของจำเป็นได้ครบ เช่น มือถือกระเป๋าสตางค์ กุญแจ เครื่องสำอางชิ้นเล็ก และยังเหลือที่อีกนิดหน่อย ภายในมีซับหนังกลับและช่องซิปเล็ก ๆ ให้ด้วย - ราคามือหนึ่ง 2025 : ปัจจุบัน Celine Luggage Nano ราคาประมาณ 87,000 บาท (มีแนวโน้มแบรนด์จะเลิกผลิตด้วย เนื่องจากยุคของ Phoebe Philo จบลงแล้ว) ถือว่าเกือบแตะเพดานงบที่ตั้งไว้ - ราคามือสอง : ประมาณ 40,000 – 60,000 บาท แล้วแต่สีและสภาพ กระเป๋ารุ่นนี้เมื่อก่อนฮิตมากทำให้ในตลาดมือสองยังพอหาได้ไม่ยากนัก ตัวอย่างเช่นที่ SF Brandname มีจำหน่าย Luggage Tote Nano มือสองอยู่ที่ 45,900 บาท ซึ่งคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับราคาของใหม่ - ความคุ้มค่า : แม้ความนิยมของ Luggage Tote จะลดลงบ้างหลัง Phoebe Philo ออกจาก Celine แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในกระเป๋าไอคอนิกของวงการแฟชั่น การมี Luggage Nano ไว้ในครอบครองก็เหมือนมี Collector’s item ชิ้นหนึ่ง แถมมันยัง ใช้งานได้หลากหลาย จริง ๆ ตั้งแต่วันทำงานที่ต้องลุคเนี้ยบ ไปจนถึงวันหยุดสบาย ๆ กระเป๋าทรงนี้ยังดูเก๋อยู่ และด้วยความทนทานของวัสดุ คุณจะใช้มันได้นานหลายปี ที่สำคัญถ้ารักษาสภาพดี ๆ อีกหน่อยกลายเป็นรุ่นหายากขึ้นมา ราคามือสองอาจจะเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยซ้ำ ดังนั้นสำหรับมือใหม่ที่ชอบสไตล์หรูเท่และมีความยูนีค Celine Luggage Nano ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย 10. Dior Saddle Bag แบรนด์ : Dior (ดิออร์)รุ่น : Saddle Bag (Oblique Canvas) ปิดท้ายด้วย Dior Saddle Bag กระเป๋าทรงอานม้าที่เป็นตำนานยุค Y2K และกลับมาฮิตอีกครั้งในปัจจุบัน รุ่นนี้ออกแบบโดย John Galliano เปิดตัวครั้งแรกปี 1999 โดยตั้งใจให้เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ และโด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อปรากฏในซีรีส์ Sex and the City ยุค 2000’s (เป็นกระเป๋าคู่ใจของตัวละคร Carrie Bradshaw) หลังจากนั้นไม่ว่าจะเหล่าเซเลบอย่าง Paris Hilton, Beyoncé ก็ล้วนถือ Saddle ออกสื่อ ทำให้ยอดขายพุ่งกว่า 60% ในปี 2001 เลยทีเดียว หลังห่างหายไปพักใหญ่ Dior Saddle ถูกนำกลับมา re-born ใหม่ในปี 2018 เสริมลูกเล่นทันสมัย เช่น มีสายสะพายแบบผ้าแจ็คการ์ดเส้นหนาให้ซื้อเพิ่มเพื่อสะพาย Crossbody ได้ (ไม่ต้องถือคล้องแขนอย่างเดียวเหมือนรุ่นดั้งเดิม) และออกลวดลาย/วัสดุใหม่ๆ ทั้งหนังเรียบ หนังปักลาย และผ้าแคนวาส Oblique (ลายโมโนแกรมตัวอักษร Dior) ที่ทุกคนจำได้ดี ตอนนี้เราจะเห็นสาว ๆ และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกสะพาย Dior Saddle กันเกลื่อนฟีด ถือเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ของกระเป๋ารุ่นนี้เลยทีเดียว ราคามือหนึ่ง 2025 : Dior Saddle ไซส์มาตรฐาน (สายสั้น) ประมาณ 105,000 บาท ถ้าเป็นรุ่นมีสายยาว (สายแคนวาสเส้นหนาที่มักขายแยก) ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย ถือว่าเกินงบมือใหม่ไปพอสมควร ราคามือสอง : มีช่วงราคากว้างมาก ตั้งแต่ประมาณ 25,000 บาท (สำหรับรุ่นเก่าแท้มือสองสภาพผ่านการใช้งาน หรือรุ่น Mini เล็กๆ) ไปจนถึงราว 75,000 – 80,000 บาท สำหรับใบสภาพสวยใหม่ ๆ อย่างเช่นในประเทศไทย กระเป๋า Dior Saddle Oblique สภาพดี ปีใหม่ ๆ มักตั้งขายกันประมาณหกหมื่นบาทต้น ๆ ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่าการซื้อกระเป๋าใบใหม่อย่างมาก ความคุ้มค่า : ถ้าใจรัก Dior และชื่นชอบดีไซน์สุดชิคของ Saddle Bag จะบอกว่ารุ่นนี้ “น่าลงทุน” ก็ไม่ผิดนัก เพราะมันเป็น กระเป๋าไอคอนิก ของ Dior ที่ผ่านการพิสูจน์ความฮิตมาแล้วถึงสองยุคสองสมัย การกลับมาครั้งนี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่า Saddle เป็นดีไซน์ที่ยืนหยัดเหนือกาลเวลา ใครถือก็รู้ว่าเป็น Dior ชัดเจน แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าทรงอานม้ามีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัดและรูปทรงโค้งอาจไม่ใช่สไตล์ของทุกคน แนะนำสำหรับมือใหม่ที่ชอบแฟชั่นสายเท่ กล้าแต่งตัว และอยากได้กระเป๋าที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครจริง ๆ หากงบไม่ถึงของใหม่ ลองมองหาในตลาดมือสอง จะได้ราคาที่น่ารักกว่าเยอะ และในอนาคตถ้ารักษาดี ๆ ราคาก็ไม่น่าตกมาก (บางใบอาจราคาขึ้นด้วยซ้ำหากกลายเป็นแรร์ไอเท็ม) อย่างไรก็ตาม ซื้อมาแล้วรับรองว่าได้ใช้สะพายอวดความเก๋อย่างคุ้มค่าแน่นอน 10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก ทั้ง 10 รุ่นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมไฮเอนด์ที่เหมาะกับการเริ่มต้นสะสมสำหรับมือใหม่ แต่ละใบมีเอกลักษณ์และข้อดีต่างกันไป ไม่ว่าจะชอบสายหวาน สายเท่ สายมินิมอล หรือสายหรูหรา ก็มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ภายใต้งบประมาณที่จับต้องได้เมื่อเทียบกับแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์อื่น ๆ แต่อย่าลืมว่าการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมคือการลงทุนอย่างหนึ่ง ควรเลือกใบที่เราชอบและเข้ากับสไตล์การใช้ชีวิตของเราจริง ๆ จะได้ใช้มันอย่างมีความสุขและคุ้มค่าที่สุด สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนสนุกกับการเลือกซื้อกระเป๋าใบแรกนะคะ และหวังว่าเพื่อนๆ จะได้ “กระเป๋าในฝัน” ที่ทั้งถูกใจและใช้ได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปค่ะ
ของแท้คือใจความสำคัญ
เราให้ความสำคัญกับสินค้าแท้ จึงใช้ Warranty Card เพื่อรับประกันว่าสินค้าจากเราเป็นของแท้อย่างแน่นอน
การรับซื้อที่เป็นเลิศ
การขายกับเราจะได้รับเงินเร็วที่สุด และการการันตีถึงผู้ซื้อว่าได้รับสินค้าแท้ 100% เรามีทีมงานคอยตรวจสินค้าทุกชิ้น
การบริการที่ยอดเยี่ยม
มอบประสบการณ์ที่ดีสุดสำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่ง ที่รวดเร็วพร้อมบริการรับซื้อคืนสำหรับสินค้าที่ซื้อจากเรา
ไทย
en