เราตั้งใจคัดสรรแบรนด์เนมมาเพื่อคุณ

ITEM FOR YOU

แนะนำสำหรับคุณ
สินค้าเข้าใหม่วันนี้

Hermès

Clic Clac H PHW

17,900 THB

Gucci

Gucci Dionysus

62,900 THB

MCM

Belt Bag

11,900 THB
ดูสินค้าแนะนำทั้งหมด
ดูสินค้าเข้าใหม่ทั้งหมด

สินค้าสำหรับทุกคน

PICK YOUR ITEM

Link Find a Store

FIND A STORE

แหล่งรวมสินค้าแบรนด์เนม ที่เป็นศูนย์กลางการซื้อ ขายและฝากขาย สินค้าใกล้คุณ

ดูเพิ่มเติม

SELL MY BAG

รับซื้อ ฝากขายสินค้าแบรนด์เนมประเมินอย่างยุติธรรม การันตีให้ราคาดีที่สุด

ดูเพิ่มเติม
Link sell my bag

TRADE MY BAG

รับเปลี่ยนคืนสินค้าที่ซื้อแล้วเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาซื้อ เพื่อนำกลับไปช้อปสินค้าต่อ

Link Trade my bag

บล็อกแฟชั่นชั้นนำที่จะทำให้คุณประทับใจ

BLOG FOR ALL

Rolex 6 รุ่น เปิดตัวใหม่ฉ่ำ ๆ ต้อนรับปี 2024 Rolex นำเสนอความกลมกลืนอันเป็นเอกลักษณ์ของวัสดุ สีสัน และพื้นผิว แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของแบรนด์ ที่จะปลุกอารมณ์ความรู้สึกของการผลิตนาฬิกาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่แน่วแน่จนถึงรายละเอียดที่เล็กที่สุด ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการผลิตนาฬิกาอันสืบทอดมาอย่างยาวนาน ความสมดุลที่ลงตัวระหว่างฟังก์ชันการทำงานและสุนทรียศาสตร์ ประสิทธิภาพและความล้ำค่า ประเพณีและนวัตกรรม กับ 6 รุ่นเปิดตัวใหม่   GMT-Master II 40 mm. พร้อมกับหน้าปัดสีดำและขอบหน้าปัด Cerachrom จากเซรามิกสีเทาและสีดำ นอกจากเข็มแสดงชั่วโมง นาที และวินาทีแบบนาฬิกาทั่วไปแล้ว GMT-Master II ยังมีเข็มนาฬิกาปลายลูกศรที่หมุนเป็นวงกลมรอบหน้าปัดทุก 24 ชั่วโมง พร้อมขอบหน้าปัดแสดงเวลา 24 ชั่วโมงที่หมุนได้สองทิศทาง ระบบกันน้ำ Triplock สามชั้นแบบยึดด้วยสกรู แซฟไฟร์ป้องกันรอยขีดข่วน ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 3285 ระบบไขลานอัตโนมัติ สำรองพลังงานได้ประมาณ 70 ชั่วโมง เข็มแสดงเวลา 24 ชั่วโมงที่มีสีที่โดดเด่นจะแสดงเวลาอ้างอิงที่เป็น “ถิ่นพำนัก” ในเขตเวลาที่หนึ่ง ซึ่งอ่านได้จากขีดแบ่งบนขอบตัวเรือน ส่วนเวลาท้องถิ่นของนักเดินทางสามารถปรับตั้งได้อย่างง่ายดายโดยการตั้งแบบ "กระโดดข้าม" ทีละชั่วโมง และเนื่องจากนาฬิกามีกลไกที่ทำงานผ่านเม็ดมะยมไขลาน จึงทำให้เข็มชั่วโมงสามารถปรับเดินหน้าหรือถอยหลังได้โดยไม่ส่งผลต่อเข็มนาทีและเข็มวินาที จึงช่วยให้นักเดินทางสามารถปรับตั้งเวลาเข้ากับเขตเวลาใหม่ได้โดยไม่กระทบต่อความเที่ยงตรงของนาฬิกา หน้าปัดเคลือบเงาสีดำ พร้อมสลักคำว่า ‘GMT-Master II’ สีเขียวไว้ สีนี้ยังใช้กับเข็มแสดงเวลา 24 ชั่วโมงด้วย เฉกเช่นนาฬิกา Rolex สำหรับมืออาชีพทุกเรือน GMT-Master II มาพร้อมหน้าปัดโครมาไลท์ที่ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถอ่านเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในที่มืด ตัวเรือนสตีล Oystersteel ที่แบรนด์พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษอยู่ในตระกูลสตีล 904L มีความทนทานอย่างยิ่ง มอบความเงางามเป็นพิเศษหลังการขัด และยังคงความงามแม้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุด สายนาฬิกา Oyster ประกอบด้วย Oysterlock ชุดตัวล็อกแบบพับได้ที่ป้องกันการเลื่อนเปิดออกโดยไม่ตั้งใจ และระบบขยายความยาวสาย Easylink ที่มีพิเศษเฉพาะของ Rolex ระบบอันชาญฉลาดนี้ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถปรับขยายความยาวของสายนาฬิกาได้อีกประมาณ 5 มม. สามารถกันน้ำได้ 100 เมตร (330 ฟุต) ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 406,200 บาท   Day-Date 40 , 40 mm. หน้าปัดขนาด 40 มิลลิเมตร โดดเด่นด้วยขอบหน้าปัดแบบร่องของ Rolex เป็นสัญลักษณ์ของความแตกต่าง แต่เดิมร่องของขอบหน้าปัด Oyster มีขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ด้านการใช้งาน โดยทำหน้าที่ยึดขอบหน้าปัดลงบนตัวเรือนเพื่อประกันประสิทธิภาพในการกันน้ำของนาฬิกา ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 3255 สำรองพลังงานได้ประมาณ 70 ชั่วโมง ดังนั้น จึงเหมือนกับร่องบริเวณตัวเรือนด้านหลัง ซึ่งต้องใช้เครื่องมือพิเศษเฉพาะของ Rolex ในการสกรูลงบนตัวเรือนเพื่อการกันน้ำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปการเซาะร่องได้กลายเป็นองค์ประกอบที่มีความงดงาม และเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ Rolex อย่างแท้จริง ปัจจุบันขอบหน้าปัดแบบร่องเป็นสัญลักษณ์ของความแตกต่าง Day-Date 40 เรือนนี้ทำจากทองคำ ที่รังสรรค์ขึ้นจาก Everose gold 18 กะรัต มาพร้อมหน้าปัดสีเทาอมน้ำเงินออมเบร ซึ่งเป็นเฉดสีใหม่สำหรับหน้าปัดนี้ เปิดตัวครั้งแรกในปี 2005 เอเวอโรส 18 กะรัตได้รับการนำมาใช้กับนาฬิกา Rolex ทุกรุ่นในสีพิงค์โกลด์ โดยดีไซน์นี้ได้เผยให้เห็นการผันเปลี่ยนอันละเอียดอ่อนจากสีสว่างตรงกลางหน้าปัดไปสู่สีดำมืดตรงขอบ นอกจากนี้ ยังนับเป็นครั้งแรกที่มีเลขโรมันแบบแยกส่วนทรงเหลี่ยมมุม และเครื่องหมายบอกชั่วโมงแบบเหลี่ยมมุมจากพิงค์โกลด์ 18 กะรัตบนหน้าปัดแบบออมเบรเรือนนี้ เม็ดมะยมไขลาน ระบบกันน้ำ TwinLock สองชั้นแบบยึดด้วยสกรู กระจกเลนส์หน้าปัด Cyclops ทำจากแซฟไฟร์ป้องกันรอยขีดข่วนครอบอยู่เหนือวันที่ สามารถกันน้ำได้ 100 เมตร (330 ฟุต) ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,784,800 บาท   1908 , 39 mm. หน้าปัดขนาด 39 มิลลิเมตร ไอซ์บลูตกแต่งลวดลายกิโยเช่ลายเม็ดข้าว ดีไซน์แบบโรเซตต์นี้โดดเด่นด้วยรูปทรงเรขาคณิตสามมิติที่ซ้ำซ้อนกันและขยายไปทั่วพื้นผิวของหน้าปัดโดยเริ่มจากส่วนแสดงวินาทีขนาดเล็กในตำแหน่ง 6 นาฬิกา พร้อมทั้งขีดบอกนาทีรอบวงหน้าปัดยังตกแต่งด้วยขอบลายกิโยเช่อันประณีตในทุกรายละเอียด ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 7140 หน้าปัดสุดพิเศษนี้มีตัวเลขอารบิก 3, 9 และ 12 เครื่องหมายบอกชั่วโมงแบบเหลี่ยมมุม และเข็มนาฬิกา ที่ล้วนแต่เป็นแบบเดียวกับนาฬิการุ่นทองคำ 18 กะรัต หน้าปัดสีพิเศษนี้สามารถพบได้เฉพาะในนาฬิกา Day-Date นาฬิกา Cosmograph Daytona และนาฬิกา Perpetual 1908 แพลทินัมเป็นโลหะล้ำค่าและหายาก โดดเด่นสะดุดตาด้วยสีเงินที่สว่างบริสุทธิ์และเปล่งประกาย หนึ่งในโลหะที่หนาแน่นที่สุดและหนักที่สุดในโลก แยกความแตกต่างได้จากคุณสมบัติเฉพาะทางด้านเคมีและกายภาพ เช่น การทนทานต่อการกัดกร่อนที่มากเป็นพิเศษ นาฬิกา 1908 รุ่นนี้มาพร้อมกับสายหนังจระเข้ สายหนังอันงามสง่าที่โดดเด่นด้วยการบุซับในสีเขียวที่ทำจากหนังลูกวัว และเย็บแบบไล่สี มาพร้อมชุดตัวล็อกแบบคู่ ซึ่งเป็นตัวล็อกแบบบานพับคู่จากแพลทินัม โดยได้รับการออกแบบมาอย่างดี เพื่อให้ชุดตัวล็อกแบบคู่อยู่ตรงกลางข้อมือเสมอ พลังงานสำรองประมาณ 66 ชั่วโมง สามารถกันน้ำได้ 50 เมตร (165 ฟุต) ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,152,100 บาท   Rolex Deepsea , 44 mm. Rolex Deepsea ช่วยให้นักดำน้ำสามารถควบคุมเวลาดำน้ำและเวลาขณะคายแรงดันได้อย่างเที่ยงตรงและปลอดภัย เครื่องหมายทรงสามเหลี่ยมที่มาร์คเกอร์ “ศูนย์” ยังสามารถมองเห็นได้ในความมืด แหวนอัด หน้าปัด และขอบหน้าปัด Cerachrom ตกแต่งด้วยสีน้ำเงินทำจากเซรามิก หลากหลายเฉดที่บรรจงเลือกสรรให้เข้ากันกับโทนสีของผืนมหาสมุทรและขับความโดดเด่นให้ยิ่งฉายชัดด้วยตัวเรือนและสายนาฬิกา Oyster ที่ทำจากทองคำ 18 กะรัต หน้าปัด ขนาด 40 มิลลิเมตร เคลือบเงาสีน้ำเงินพร้อมด้วยชื่อ 'DEEPSEA' แต่งด้วยผงสีเหลือง หน้าปัดโดดเด่นด้วยเครื่องหมายบอกชั่วโมงและเข็มนาฬิกาแบบโครมาไลท์ ที่เต็มไปด้วยสารเรืองแสงที่ปล่อยแสงสีฟ้าติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้สามารถอ่านเวลาในความมืดได้นานขึ้นกว่าเดิม สายนาฬิกา Oyster ประกอบด้วยชุดตัวล็อก Oysterlock เพื่อป้องกันสายนาฬิกาเลื่อนเปิดออกโดยไม่ตั้งใจ และระบบ Glidelock อันชาญฉลาดเพื่อการปรับความยาวของสายนาฬิกาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดช่วย พร้อมเพิ่มความรู้สึกสบายให้แก่นักดำน้ำขณะสวมใส่ชุดดำน้ำ กระจก แซฟไฟร์ป้องกันรอยขีดข่วน หนา 5.5 มม. ทรงโดม ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 3235 สามารถสำรองพลังงานได้ประมาณ 70 ชั่วโมง กันน้ำลึกได้จนถึงระดับ 3,900 เมตร / 12,800 ฟุต, วาล์วคายฮีเลียม ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,980,000 บาท   Cosmograph Daytona , 40 mm. Cosmograph Daytona ในเวอร์ชันทองคำ 18 กะรัต มาพร้อมขอบตัวเรือน Cerachrom และสาย Oysterflex นวัตกรรมนี้ได้รับการพัฒนาและจดสิทธิบัตรโดย Rolex มันผสมผสานความทนทานของสายนาฬิกาโลหะและความสบายของสายอีลาสโตเมอร์ได้อย่างน่าทึ่ง ตัวเรือน Oyster ขนาด 40 มิลลิเมตร มาพร้อมขอบตัวเรือนที่ประดับด้วยเพชรทรงสี่เหลี่ยมคางหมู 36 เม็ด ทองคำขาวและเพชร เม็ดมะยมไขลาน ระบบกันน้ำ Triplock สามชั้นแบบยึดด้วยสกรู คริสตัล แซฟไฟร์ป้องกันรอยขีดข่วน ขับเคลื่อนด้วยกลไก calibre 4131 โดดเด่นด้วยหน้าปัดสตีล ประดับเพชร ที่มากับหน้าปัดย่อยลายก้นหอย มาร์คเกอร์ชั่วโมงที่ใช้ตกแต่งและเข็มนาฬิกาจากทองคำ 18 กะรัต พร้อมหน้าปัดโครมาไลท์ ซึ่งเป็นสารเรืองแสงที่ช่วยให้การอ่านเวลาเป็นไปอย่างสะดวกง่ายดาย สำรองเวลาได้ประมาณ 72 ชั่วโมง กันน้ำได้ 100 เมตร (330 ฟุต) ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 4,350,600 บาท   Sky-Dweller , 42 mm. ตัวเรือนรุ่น Oyster ขนาด 42 มิลลิเมตร เอเวอร์โรสโกลด์ ตัวเรือนตรงกลาง Monobloc, ด้านหลังตัวเรือนและเม็ดมะยมที่ยึดด้วยสกรู คริสตัล เลนส์ Cyclops ทำจากแซฟไฟร์ป้องกันรอยขีดข่วนครอบอยู่เหนือวันที่ มาพร้อมกับกลไก Calibre 9002 การไขลานอัตโนมัติสองทิศทางด้วยโรเตอร์ Perpetual ขอบหน้าปัดบนนาฬิการุ่น Sky-Dweller ประกอบด้วยระบบ Ring Command คือการทำงานร่วมกันระหว่างขอบหน้าปัดแบบหมุนได้ เม็ดมะยมไขลาน และกลไกการทำงานของนาฬิกาที่ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถเลือกและตั้งค่าแต่ละฟังก์ชันของเรือนเวลาได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และแม่นยำ มักทำจากทองคำหรือแพลทินัม สี่เหลี่ยมสีแดงเข้มบริเวณ 1 ใน 12 ช่องรอบหน้าปัดแสดงเดือนปัจจุบัน และโดดเด่นด้วยคุณลักษณะพิเศษของปฏิทินรายปี Saros กลไกอันชาญฉลาดนี้ทำให้ผู้สวมใส่ใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่ายโดยไม่จำเป็นต้องนึกถึงเรื่องการตั้งวันที่เมื่อสิ้นสุดเดือนที่มี 30 วัน และปฏิทินรายปีจะแสดงวันที่ได้อย่างถูกต้องตลอดทั้งปี โดยต้องปรับเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือวันที่ 1 มีนาคม (เนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์มีเพียง 28 หรือ 29 วัน) วันที่จะเชื่อมโยงกับเวลาท้องถิ่นและเปลี่ยนอัตโนมัติตามเขตเวลาท้องถิ่นของนักเดินทาง สายนาฬิกาโลหะแบบข้อต่อห้าชิ้นที่มีความยืดหยุ่นและสวมใส่สบายนี้ผ่านการออกแบบเป็นพิเศษสำหรับการเปิดตัว Oyster Perpetual Datejust ในปี 1945 สายนาฬิกา Jubilee ของนาฬิกาในรุ่นเหล่านี้ยังมาพร้อม Oysterclasp แบบพับได้ และระบบขยายความยาวสาย Easylink ที่พัฒนาโดย Rolex ซึ่งช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถปรับเพิ่มความยาวของสายประมาณ 5 มม. ได้อย่างง่ายดาย พลังงานสำรอง ประมาณ 72 ชั่วโมง กันน้ำได้จนถึงระดับ 100 เมตร (330 ฟุต) ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,972,200 บาท   โดยนาฬิการุ่นใหม่ทั้ง 6 รุ่นดังกล่าว เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในงาน Watch and Wonders งานอีเวนต์ที่สำคัญที่สุด ในอุตสาหกรรมแวดวงนาฬิกา ซึ่งจัดขึ้น ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอแลนด์ โดยในปีนี้ ทางแบรนด์ได้นำเสนอนาฬิการะดับไอคอนของแบรนด์ ภายใต้รูปลักษณ์ใหม่ ผ่านการผสมผสานวัสดุ สีสันและพื้นผิว ด้วยวัสดุเปี่ยมไปด้วยคุณภาพและมูลค่า ซึ่งทาง Rolex ได้ทำงานอย่างหนัก เพื่อผลงานล้ำค่า ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ ช่วยเปลี่ยนให้เจนีวา เป็นเมืองหลวงของโลกนาฬิกาอย่างไม่ต้องสงสัย บนแพลตฟอร์มของ SF Brandname การการันตีความเป็นของแท้ 100% เป็นเรื่องสำคัญ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญ ที่จะให้คำแนะนำของคุณ ตลอดการซื้อขาย รวมถึงบริการเกี่ยวกับสินค้าแบรนด์เนมครบวงจร หากคุณสนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดกับเราได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้ Facebook : sfbrandnameIG : sfbrandnameLine : @sfbrandnamebkk

8 รุ่น Timeless Classic Chanel Watch สวยบาดตาราคาบาดใจ นอกเหนือจากเครื่องหนังและกระเป๋า Chanel Classic Flap ซึ่งโด่งดังและติดอันดับหนึ่งในกระเป๋าที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก ในโลกของ Chanel ยังมีอีกหลายเวทมนต์ที่มาดมัวแซลได้ร่ายเอาไว้เพื่อให้เราได้ทำการค้นหา หนึ่งในนั้นคือนาฬิกา ที่ถูกบรรจงสรรสร้างขึ้นมา พร้อมอัดแน่นไปด้วยเรื่องราว อันสื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์และประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ขอนำเสนอ นาฬิกา 8 เรือนจากชาแนล ที่ได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย   Premiere Edition Originale ตัวเรือนสตีลเคลือบด้วยเยลโลว์โกลด์ 18K (0.1 ไมครอน) หน้าปัดเคลือบแลคเกอร์สีดำ ขนาด 26.1 x 20 x 7.6 เซนติเมตร ตัววัสดุที่นำมาผลิตนาฬิกาเป็นเคลือบทองผสมผสานกับหนังลูกวัวบนสายนาฬิกา ที่สวยงามอย่างลงตัวและสื่อถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี เม็ดมะยมทำจากเหล็กเคลือบด้วยเยลโลว์โกลด์ 18K (0.1 ไมครอน) พร้อมโอนิกซ์หลังเบี้ย มาพร้อมกับกลไก ควอทซ์ที่มีความแม่นยำสูง สามารถกันน้ำได้ที่ความลึก 30 เมตร ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 238,000 บาท   J12 ตัวเรือนเซรามิกความทนทานสูงสีดำและสตีล ขนาด 33 มิลลิเมตรหน้าปัดเคลือบแลคเกอร์สีดำ ประดับเพชรสำหรับแสดงเวลา 12 เม็ด (~0.06 กะรัต) ขอบหน้าปัดทำจากเหล็กหมุนได้ทิศทางเดียว ผลิตจากวัสดุ เซรามิกสีดำ Steel และเพชร เม็ดมะยมสตีลแบบขันเกลียว เซรามิกความทนทานสูงสีดำทรงหลังเบี้ย สายข้อมือเซรามิกความทนทานสูงสีดำ หัวล็อคทำจากเหล็กกล้าแบบพับสามทบ ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 12.2 แบบไขลานอัตโนมัติ กันน้ำได้ 200 เมตร ราคาจำหน่ายเริ่มต้นอยู่ที่ 291,000 บาท J12 Baguette Diamond Bezel ขอบตัวเรือนสตีลแบบคงที่ สำหรับแสดงเวลา ประดับเพชรเจียระไนทรงบาแก็ตต์ 12 เม็ด (~0.20 กะรัต) หน้าปัดเคลือบแลคเกอร์สีขาว เม็ดมะยมไวท์โกลด์ 18K แบบไม่ขันเกลียว ประดับเพชรเจียระไนทรงบริลเลียนท์ 1 เม็ด (~0.10 กะรัต)สายข้อมือเซรามิก ความทนทานสูง และหัวล็อคสตีลแบบพับสามทบ ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 12.1 แบบไขลานอัตโนมัติ กันน้ำได้ 50 เมตร ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 3,605,000 บาท   Boy Friend Skeleton มาพร้อมกับหน้าปัดขนาด 37 มิลลิเมตร แปลกตาด้วยความโปร่งใส ที่ทำให้สามารถมองเห็นกลไกด้านใน ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 3 แบบไขลานด้วยมือ หน้าปัดและตัวเรือนทำจากวัสดุ เบจโกลด์ 18K เม็ดมะยมเบจโกลด์ 18K ประดับโอนิกซ์หลังเบี้ย สายข้อมือเพิ่มความหรูหราด้วย หนังลูกวัวลายจระเข้สีดำมันเงาแบบถอดเปลี่ยนได้ และหัวล็อคเบจโกลด์ 18K แบบ Ardillon สามารถกันน้ำได้ 30 เมตร ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,729,000 บาท*สามารถปรับแต่งตัวเรือนได้ตามความชอบ   Premiere Iconic Chain หน้าปัดเคลือบแลคเกอร์สีดำ โดดเด่นด้วยตัวเรือนแปดเหลี่ยมทรงเอกลักษณ์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากรูปทรงของจตุรัส ปลาซวองโดม ของประเทศฝรั่งเศส ตัวเรือนทำจากเหล็กกล้า Steel ขนาดหน้าปัด 19.7 มิลลิเมตร เม็ดมะยมหลังหลังโอนิกซ์ อีกสิ่งหนึ่งอันเป็นจุดเด่นของนาฬิการุ่นนี้คือ สายรัดข้อมือ interwoven with black leather แบบ 3 แถว ซึ่งสื่อให้เห็นเอกลักษณ์ความเป็น Chanel อย่างชัดเจน ขับเคลื่อนด้วยระบบควอทซ์ที่มีความแม่นยำสูง ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 205,000 บาท   Boy Friend หน้าปัดกิโยเช่โอปอลีน ตัวระบุวันที่ ขนาด 34.6 มิลลิเมตร ขอบตัวเรือนสตีลประดับเพชรเจียระไนแบบเหลี่ยมเกสร 64 เม็ด (~0.71 กะรัต) ตัวเรือน Steel case เม็ดมะยมสตีลประดับสปิเนลสีดำหลังเบี้ย สายหนังลูกวัวลายข้าวหลามตัด สีดำพร้อมระบบเปลี่ยนได้และตัวล็อคทำจากเหล็ก ardillon พร้อมสายที่สอง สามารถเปลี่ยนสลับได้ มาพร้อมกับระบบควอทซ์ที่มีความแม่นยำสูง สามารถกันน้ำได้ 30 เมตร ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 733,000 บาท   J12 Paradoxe เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตระกูล J12 จาก Chanel โดดเด่นด้วยหน้าปัด 2 สี ขนาด 38 มิลลิเมตร ตัวเรือนเซรามิกและสตีลที่มีความทนทานสูงสีขาวและดำ หน้าปัดเคลือบแลคเกอร์สีดำและสีขาว เม็ดมะยมสตีลแบบขันเกลียว เซรามิกความทนทานสูงสีดำทรงหลังเบี้ย สายข้อมือเซรามิกความทนทานสูงสีขาว และหัวล็อคสตีลแบบพับสามทบ ขับเคลื่อนด้วยกลไก Calibre 12.1 แบบไขลานอัตโนมัติ สามารถกันน้ำได้ 50 เมตร ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 384,000 บาท   Premiere Ceramic อีกหนึ่งความหรูหราบนข้อมือของคุณ ที่ไม่ควรพลาด ตัวเรือนสตีลประดับเพชรเจียระไนแบบเหลี่ยมเกสร 52 เม็ด (~0.26 กะรัต) ทรงสี่เหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น Premiere ขนาด 19.7 มิลลิเมตร หน้าปัดเคลือบแลคเกอร์สีขาวล้อมรอบด้วยเพชร สายข้อมือทำจากวัสดุเซรามิกความทนทานสูงสีขาวผสมผสานกับสตีล เคลื่อนไหวด้วยระบบควอทซ์ที่มีความแม่นยำสูง สามารถกันน้ำได้ 30 เมตร ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 310,000 บาท นอกจากนาฬิกาทั้ง 8 รุ่นที่นำเสนอไปแล้วนั้น Chanel ยังนำเสนอนาฬิกาอีกหลายรุ่น หลายคอลเล็กชั่น เพื่อค้นพบจักรวาลทั้งหมดของนาฬิกา CHANEL ผลงานสำหรับผู้ชายและผู้หญิงที่สะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์และความเชี่ยวชาญของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น J12 , Premiere , BOY-FRIEND , Code COCO หรือ Monsieur เลือกนาฬิกาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ บนแพลตฟอร์มของ SF Brandname การการันตีความเป็นของแท้ 100% เป็นเรื่องเราให้ความสำคัญ เราพร้อมบริการคุณ ด้วยแบรนด์เนมหลากหลายหมวดหมู่ด้วยผู้เชี่ยวชาญ ที่จะให้คำแนะนำของคุณ ตลอดการซื้อขาย รวมถึงบริการเกี่ยวกับสินค้าแบรนด์เนมครบวงจร หากคุณสนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดกับเราได้ที่ช่องทางดังต่อไปนี้   Facebook : sfbrandnameIG : sfbrandnameLine : @sfbrandnamebkk  

เทียบจะ ๆ Louis Vuitton GOTHEGO VS Dior Tote Bag กระเป๋า Tote ที่กว้างขวางและใช้งานได้จริงเหมาะสำหรับการใช้งานในทุก ๆ วัน ขวัญใจสายแบก กระเป๋าที่เหมาะสำหรับทุกโอกาสไปทำงานหรือไปมหาวิทยาลัย ช็อปปิ้ง หรือทำธุระ ทริปเดินทางสั้น ๆ  กระเป๋า Tote คือคำตอบที่ดีที่สุด ความอเนกประสงค์ของมัน ทำให้กระเป๋า Tote เป็นที่นิยมอย่างไม่ต้องสงสัย ต้องขอบคุณบ้านแฟชั่นสุดหรูหลายแบรนด์ ที่ออกแบบกระเป๋า Tote ออกมาให้มีลวดลายสวยงามแตกต่างกันออกไป ทำให้ภาพลักษณ์ของกระเป๋าใบใหญ่เทอะทะ กลายเป็นกระเป๋าขวัญใจสายแบกผู้คลั่งไคล้แฟชั่น ปัจจุบันกระเป๋า Tote จากแบรนด์ลักชัวรี่ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง คงไม่พ้น Dior Boo Tote และ Louis Vuitton ONTHEGO ภาพเงาทั้งสองดูค่อนข้างเหมือนกัน แต่เรารู้ว่าไม่มีอะไรง่ายขนาดนั้นในโลกแห่งแฟชั่น บทความนี้ เราจะทำการเปรียบเทียบกระเป๋าทั้ง 2 รุ่นนี้โดยละเอียด เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น   Dior Book Tote vs Louis Vuitton Onthego : History แม้กระเป๋าทั้ง 2 รุ่นนี้ จะเปิดตัวได้ไม่นาน และชื่อเสียงอาจจะยังไม่สามารถเทียบเท่า  Dior Lady หรือ Louis Vuitton Speedy ในตำนาน อย่างไรก็ตาม กระเป๋าทั้ง 2 รุ่น ก็สามารถขึ้นแท่นกระเป๋าที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดตัว ด้วยดีไซน์การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ และการใช้งานที่คุ้มค่าอย่างน่าทึ่ง  และต่อไปนี้คือจุดเริ่มต้นของกระเป๋าทั้ง 2 รุ่น History of Dior Book Tote ไม่น่าเชื่อว่า Dior Book Tote เปิดตัวเมื่อปี 2018 เท่านั้น เมื่อคุณเห็นรูปถ่ายของดารา ผู้มีอิทธิพลที่ถือกระเป๋ารุ่นนี้บน Instagram หรือ Pinterest คุณจะเริ่มเชื่อว่านี่คือกระเป๋าที่มีเอกลักษณ์ มันถูกเปิดตัวครั้งแรก โดบเป็นส่วนหนึ่งของคอลเล็กชั่น Dior Spring/Summer 2018 หากคุณคิดว่ามันเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราว เราก็ยังมีอะไรให้เพิ่มเติมอีก แม้ว่า Dior Book Tote จะเปิดตัวโดยดีไซเนอร์ชาวอิตาลี Maria Grazia Chiuri แต่แรงบันดาลใจสำหรับกระเป๋าใบนี้ย้อนกลับไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เมื่อ Marc Bohan ทำงานให้กับแบรนด์แฟชั่น ภาพวาดของเขาที่มีอายุย้อนไปถึงปี 1967 ทำให้เกิดไอเดียสำหรับกระเป๋าที่สะดวกสบายและเก๋ไก๋ที่เรายินดีที่ได้เห็นในตอนนี้ ปัจจุบันนี้ Dior ได้ทำการออกแบบ Book tote มีทั้งหมด 4 ขนาด คือ Mini , Small, Medium และ Large มาพร้อมกับ วัสดุผ้า และสี ที่แตกต่างหลากหลาย กันอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องพูดอะไรเลยว่าการเปิดตัวแต่ละครั้งจะกลายเป็นเป้าหมายของการตามล่าหาความทันสมัยในหมู่คนรักกระเป๋า History of Louis Vuitton Onthego กระเป๋าที่เป็นลูกรักที่สุดรุ่นหนึ่ง จากเหล่าบรรดาเซเลบคนดัง Louis Vuitton ONTHEGO อาจเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่ Louis Vuitton Onthego เปิดตัวในปี 2019 เท่านั้น! อย่างไรก็ตาม กระเป๋ารุ่นนี้กลายเป็นสินค้าขายดีทันที และถูกกวาดออกจากชั้นวางทุกครั้งที่เติมสต็อก ในช่วงแรก เปิดตัวในขนาดเดียว ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นขนาด GM ในปัจจุบัน กระเป๋ารุ่นนี้ มาพร้อมกับขนาด 3 ขนาด ได้แก่ PM , MM และ GM ผลิตจากวัสดุหลากหลาย และสีสันที่เพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่เปิดตัว Louis Vuitton Onthego ก็รวมอยู่ในคอลเล็กชั่น Limited Edition ของแบรนด์ หากคุณต้องการเพิ่มกระเป๋าใบใหม่ เข้ากับคอลเล็กชั่นกระเป๋าหายากของคุณ ONTHEGO อาจเป็นคำตอบของคุณ   Dior Book Tote vs Louis Vuitton Onthego: Distinctive Features ถึงเวลาเปรียบเทียบกระเป๋า Tote จาก 2 สุดยอดแบรนด์หรูแล้ว เมื่อแรกเห็นอาจดูเหมือนกัน – ใหญ่และกว้างขวาง แต่การตรวจสอบอย่างใกล้ชิดสามารถบอกคุณได้มากขึ้นเกี่ยวกับความแตกต่างและคุณสมบัติที่โดดเด่นของแต่ละรุ่น เรามาเริ่มกันที่ Dior Book Tote โครงสร้างแบบ Boxy ทรงกล่อง ฐานล่าง แบน แข็งแรง มั่นคง หูจับด้านบนแข็งสองอันติดอยู่กับกระเป๋า ช่องใหญ่เพียงช่องเดียว ไม่มีช่องกระเป๋าเล็ก ๆ ไม่มีซับใน และไม่มีกระดุมหรือซิปสำหรับเปิด-ปิดกระเป๋า ตอนนี้เรามาตรวจสอบ Louis Vuitton Onthego โครงสร้างแบบ Boxy ทรงกล่อง ฐานกระเป๋าแบบแบน แข็งแรง มั่นคง หูจับด้านบนยืดหยุ่นได้ ติดกับวงแหวนโลหะ สายสะพายไหล่ 2 เส้น ช่องขนาดใหญ่ 1 ช่อง ช่องซิป 1 ช่อง และ double flat pocket ตะขอสำหรับเปิด-ปิดกระเป๋า ซับในไมโครไฟเบอร์ อย่างที่คุณเห็น มีความแตกต่างที่น่าทึ่งบางประการที่อาจมีบทบาทสำคัญในการเลือกกระเป๋า Tote ของคุณ  และนี่คือบทสรุป กระเป๋าทั้งสองใบมีขนาดค่อนข้างกว้างและมีโครงสร้างแข็งแรง Louis Vuitton Onthego มีตัวเลือกในการพกพามากขึ้นด้วยสายสะพายไหล่แบบยาว ในขณะที่ Dior Book Tote ไม่มี Dior Book Tote ใช้งานได้สะดวกกว่าสำหรับนักแฟชั่นนิสต้าที่ต้องการหยิบของสะดวก เนื่องจากไม่มีตัวล็อคหรือซิปเปิด-ปิดกระเป๋า พร้อมช่องกระเป๋าขนาดใหญ่กว้างขวาง ในทางกลับกัน สำหรับใครที่ต้องการจัดเก็บสิ่งของอย่างปลอดภัย การปิดกระเป๋าด้วยตะขอของ Louis Vuitton Onthego ช่วยให้เก็บของที่คุณพกพาได้ปลอดภัย รวมถึงช่องต่าง ๆ และช่องซิปที่ทำให้คุณสะดวกในการจัดเก็บสิ่งของ   Dior Book Tote vs Louis Vuitton Onthego : Materials Available ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้น กระเป๋า Tote จากทั้ง 2 แบรนด์ดังนี้ผลิตขึ้นจากวัสดุและเนื้อผ้าที่หลากหลาย เนื่องจากความนิยมสูงและการออกแบบที่น่าทึ่ง ความต้องการกระเป๋า Tote เหล่านี้จึงไม่จางหายไป หากคุณต้องการได้รับ Dior Book Tote ที่สวยงามในคอลเลกชันของคุณ คุณสามารถค้นหาได้จากวัสดุต่อไปนี้ Signature canvas with embroidery (ผ้าใบซิกเนเจอร์พร้อมงานปัก) Dior Book Tote มีให้เลือกหลายสี รวมถึงหนังแบบไล่ระดับ และสไตล์ต่างๆ ของผ้าใบปักอันเป็นเอกลักษณ์ (ลายทาง หลากสี ดอกไม้ และเฉียง ผ้าใบ ฯลฯ) Embroidered denim (ผ้ายีนส์ปัก) Smooth calfskin (หนังลูกวัวเรียบ) Embossed calfskin (หนังลูกวัวนูน) หากตัวเลือกของคุณ คือ Louis Vuitton Onthego อันงดงาม ซึ่งคล้ายกับ Dior Book Tote คุณสามารถเลือกซื้อได้จากวัสดุดังต่อไปนี้ Monogram coated canvas, available in Giant Reverse Louis Vuitton pattern (ผ้าใบเคลือบโมโนแกรม มีจำหน่ายในรูปแบบ Giant Reverse Louis Vuitton) Raffia-like woven textile Jacquard Since 1854 textile Epi leather (หนังลายไม้) Monogram Empreinte leather (หนังโมโนแกรม Empreinte)   Dior Book Tote vs Louis Vuitton Onthego : Sizes and Prices Dior Book Tote และ Louis Vuitton Onthego มีจำหน่ายสามขนาด (ราคาขึ้นอยู่กับขนาดและวัสดุ) ข้อสรุปราคาและขนาด ของกระเป๋าทั้ง 2 รุ่นมีดังนี้ ทั้งสองรุ่นมีสามขนาด: เล็ก กลาง และใหญ่ ขนาดมีความสอดคล้องกันโดยประมาณ ดังนั้นจึงไม่มีความแตกต่างกันมากนัก หากเราเปรียบเทียบเงาทั้งสองในแง่ของราคา (ทำจากวัสดุชนิดเดียวกันและขนาดเท่ากัน) Louis Vuitton Onthego จะมีราคาถูกกว่า Dior Book Tote เล็กน้อย ราคาที่สูงของ Dior Book Tote ที่ทำจากผ้าใบปักนั้นอธิบายได้ง่าย ๆ ว่ากระเป๋าแต่ละใบดูเหมือนงานศิลปะเพราะประดิษฐ์โดยช่างฝีมือชั้นดี   Dior Book Tote vs Louis Vuitton Onthego : Pros and Cons เมื่อต้องตัดสินใจครั้งสุดท้ายและไปเยี่ยมชมร้านบูติกหรือสั่งซื้อกระเป๋าทางออนไลน์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย โดยปกติแล้ว เราจะซื้อกระเป๋าถือราคาแพง ด้วยแนวคิดที่ว่ามันจะคงอยู่ได้นานหลายทศวรรษและจะคงความมีสไตล์อยู่เสมอ หากคุณไม่อยากเสียดายเม็ดเงินที่จะเสียไป และเพื่อความมั่นใจว่า กระเป๋าที่ได้มาจะคุ้มค่ากับทุกบาทของคุณ ให้พิจารณาข้อดีและข้อเสียเหล่านี้ เริ่มจาก Dior Book Tote ข้อดี :  ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง ทำให้ไม่เป็นรอยย้วยง่าย และคงสภาพทรงของกระเป๋าได้เป็นอย่างดี กระเป๋ามีขนาดใหญ่ ช่องเก็บของขนาดใหญ่ สามารถบรรจุสิ่งของที่จำเป็นได้อย่างครบครัน งานปัก อันแสดงให้เห็นถึงงานฝีมืออันสุดยอด (กระบวนการตัดเย็บกระเป๋า 1 ใบ ซึ่งใช้ทั้งหมด 37 ชั่วโมง ตั้งแต่ต้นจนจบ และฝีเข็มถึง 1,500,000 เข็มจึงจะเสร็จสมบูรณ์ รวมถึงตัวกระเป๋าประกอบขึ้นด้วยวัสดุ 5 ชิ้น ซึ่งมีลายปักมากกว่าล้านลาย นอกจากนี้ ตัวงานปักยังประกอบด้วยตะเข็บที่แตกต่างกันสามประเภท การเย็บโลโก้ที่โดดเด่นที่สุดคือมีเอฟเฟกต์นูนซึ่งเห็นได้บนผนังด้านในของกระเป๋า) บางรุ่นสามารถระบุชื่อของคุณที่ด้านหลังได้ เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันและการเดินทาง มีสีและลวดลายให้เลือกมากมาย ปากกระเป๋าเปิดกว้าง ง่ายและสะดวกต่อการหยิบสิ่งของ ข้อเสีย :  กระเป๋าหนักเกินไปเมื่อคุณใส่สิ่งของหลายชิ้นไว้ข้างใน สะพายไหล่ได้ลำบาก เนื่องจากไม่มีสายสะพายมาให้ ราคาของกระเป๋า สูงกว่ากระเป๋ารุ่น Iconic บางรุ่นของแบรนด์ ไม่มีซับในหรือกระเป๋าด้านใน สำหรับใครที่ชอบความเป็นระเบียบ อาจต้องซื้อกระเป๋าจัดระเบียบมาเพิ่ม ราคาสูง เมื่อเทียบกับกระเป๋าผ้าแบรนด์อื่น มาดูกันว่า Louis Vuitton Onthego จะดีกว่านี้หรือไม่ ข้อดี :  ช่องกระเป๋าขนาดใหญ่ และช่องซิป ช่องเล็ก ๆ ทำให้สามารถจัดข้าวของในกระเป๋าให้เป็นสัดส่วนและปลอดภัย สายสะพายยาวสำหรับสะพายไหล่ คุณภาพไร้ที่ติและความทนทานของวัสดุ ตามแบบฉบับของแบรนด์ Louis Vuitton กระเป๋าที่สมบูรณ์แบบสำหรับใช้ในสำนักงานและใช้ชีวิตประจำวัน สามารถปิดล็อคกระเป๋าด้วยตะขอเกี่ยว มูลค่าการขายต่อในตลาดซื้อขายมือสองสูง ข้อเสีย :  ความหนักของผ้าใบ ทำให้กระเป๋ารุ่นนี้มีน้ำหนักมาก ดูเทอะทะกว่ารุ่น Neverfull แม้ว่าจะมีซับในและช่องต่าง ๆ แต่หากต้องการจัดแจงสิ่งของให้เป็นระเบียบขึ้น ยังจำเป็นต้องซื้อ organizer หรือตัวจัดระเบียบกระเป๋าเพิ่ม   Dior Book Tote vs Louis Vuitton Onthego : Wear and Tear คำถามหลักที่ทำให้คนรักแฟชั่นกังวลที่กำลังวางแผนจะซื้อกระเป๋า Tote สำหรับใช้ประจำวันคือการสึกหรอที่อาจเกิดขึ้นได้ วัสดุทนทานจริงหรือ? จะเป็นแม่เหล็กดูดคราบหรือเปล่า? คุณสามารถพกพาสิ่งของอันมีค่าของคุณไปได้นานแค่ไหนก่อนที่จะมีรอยสึกหรอครั้งแรกที่มองเห็นได้? ตามธรรมเนียมแล้ว กระเป๋า Tote จะผลิตจากวัสดุที่ทนทาน และผู้เข้าแข่งขันทั้งสองของเราก็ไม่มีข้อยกเว้น อย่างไรก็ตาม คุณยังควรระมัดระวังกระเป๋าของคุณจากการสึกหรอ ทั้งจากการใช้งานและการจัดเก็บที่ผิดวิธี การสึกหรอและการฉีกขาดของ Tote Book Dior โดยทั่วไป : โครงสร้างจะสูญเสียไปหากคุณยัดกระเป๋าถือมากเกินไป หรือ กดเข้ากับลำตัวขณะสะพายไหล่ เสียดสีตามมุม และอาจเกิดการถลอก เพราะไม่มีสิ่งใดป้องกัน พื้นกระเป๋าอาจสึกหรอได้ง่าย เพราะไม่มีหมุดกระเป๋า ผ้าใบเผยให้เห็นคราบได้ง่าย โดยเฉพาะหูจับด้านบน รอยเปื้อนและสิ่งสกปรกภายในผ้าแคนวาส ด้ายแบบปักที่หลวมและยื่นออกมาเมื่อผ่านการใช้งานเป็นเวลานาน ก้นกระเป๋าจะย้อยตามน้ำหนักของสิ่งของภายใน แล้วการสึกหรอของ Louis Vuitton Onthego ล่ะ? โครงสร้างเสียเพราะวัสดุไม่หนาและแข็งเท่า Dior Book Tote การแตกร้าวบนสายสะพายไหล่ คราบจากความชื้น หากเก็บรักษาไม่ถูกวิธี อาจเกิดรอยเปื้อนได้ง่าย ภายในซับใน อย่างไรก็ตาม หากคุณดูแลกระเป๋าของคุณอย่างเหมาะสม กระเป๋าของคุณก็จะคงสภาพเดิมได้นานหลายปี ขอแนะนำให้ซื้ออุปกรณ์จัดระเบียบเพื่อปกป้องการตกแต่งภายในจากคราบและสิ่งสกปรก (ที่เกิดจากปากกา ลิปสติก ปากกาเน้นข้อความ ฯลฯ) สิ่งสำคัญอีกประการในการป้องกันการสึกหรอคือหูจับด้านบน เป็นส่วนหนึ่งของกระเป๋าที่คุณต้องใช้มือสัมผัสอยู่ตลอดเวลา ลองเพิ่มผ้าพันคอหรือผ้าทวิลลี่น่ารัก ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้กระเป๋าของคุณดูเก๋ไก๋และน่าสนใจยิ่งขึ้นอีกด้วย   Dior Book Tote vs Louis Vuitton On the Go: Which Tote To Invest In? การได้กระเป๋าที่คุ้มค่ากับราคาจริง ๆ อาจเป็นเรื่องยากทีเดียว ความจริงแล้วผลงานของนักสะสมตัวจริงมีราคาสูงมาก อย่างไรก็ตาม การซื้อกระเป๋าถือในราคาปานกลางซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสองนั้นเป็นไปได้อย่างแน่นอน ทั้ง Dior Book Tote และ LV Onthego เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้ว่าจะไม่มีประวัติที่น่าประทับใจและแทบไม่มีพื้นฐานเลยก็ตาม พวกเขาเป็นที่รักของบล็อกเกอร์ คนดัง และผู้มีอิทธิพลทั่วโลก ดูเหมือนว่าคนทั้งโลกคลั่งไคล้ภาพเงาทั้งสองนี้ ตั้งแต่ Naomi Campbell ไปจนถึง Rihanna รุ่นใดต่อไปนี้มีมูลค่าการขายต่อดีกว่า เรามาลอง เทียบจะ ๆ Louis Vuitton GOTHEGO VS Dior Tote Bag ค้นหาคำตอบกันดีกว่า! ในแง่หนึ่ง Louis Vuitton มีมูลค่าการขายต่อที่ยอดเยี่ยม ราคาสินค้าของ Louis Vuitton มีการปรับขึ้นทุกปี ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่จะหาเจ้าของคนใหม่สำหรับกระเป๋าที่คุณรัก ในทางกลับกัน Dior Book Tote ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกระเป๋า Tote Louis Vuitton Onthego ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเครื่องประดับคลาสสิกของแบรนด์ ดังนั้นความต้องการและความปรารถนาที่จะซื้อมันจึงเพิ่มขึ้น รูปทรงเหล่านี้ค่อนข้างใหม่แต่ได้ครองใจผู้รักแฟชั่นหลายพันคนไปแล้ว เราคิดว่าแต่ละคนมีโอกาสที่จะกลายเป็นการลงทุนที่ดีและกลายเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวคุณเอง แม้ว่ากระเป๋า Tote จะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทุ่มเทเวลาและความเอาใจใส่ แต่คุณยังสามารถรักษาความทันสมัยและมีดีไซน์ได้แม้จะไปซื้อของตามร้านของชำก็ตาม กระเป๋าจากแบรนด์หรูเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการแสดงความเป็นตัวคุณในแต่ละวัน แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะเลือกระหว่าง Dior Book Tote กับ Louis Vuitton On the Go แล้วหรือยัง ? หากคุณต้องการซื้อขายกระเป๋า Dior Book Tote หรือ Louis Vuitton ONTHEGO ทาง SF Brandname ยินดีต้อนรับ ด้วยบริการกระเป๋าและสินค้าแบรนด์เนม ซึ่งมาพร้อมกับการรับประกันความเป็นของแท้ 100% และผู้เชี่ยวชาญมากรปะสบการณ์ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา รวมถึงบริการเกี่ยวกับสินค้าแบรนด์เนมครบวงจร สอบถามข้อมูลและติดตามข่าวสารใหม่ ๆ ได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้ Facebook : sfbrandname IG : sfbrandname Line : @sfbrandnamebkk

Icon Sheild

ของแท้คือใจความสำคัญ

เราให้ความสำคัญกับสินค้าแท้ จึงใช้ Warranty Card เพื่อรับประกันว่าสินค้าจากเราเป็นของแท้อย่างแน่นอน

Icon Buying

การรับซื้อที่เป็นเลิศ

การขายกับเราจะได้รับเงินเร็วที่สุด และการการันตีถึงผู้ซื้อว่าได้รับสินค้าแท้ 100% เรามีทีมงานคอยตรวจสินค้าทุกชิ้น

Icon bubble comment

การบริการที่ยอดเยี่ยม

มอบประสบการณ์ที่ดีสุดสำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการจัดส่ง ที่รวดเร็วพร้อมบริการรับซื้อคืนสำหรับสินค้าที่ซื้อจากเรา