"We use cookies to make your experience better". "To offer a better browsing experience, the website uses technical, analytical, profiling and third party cookies. By selecting "Accept" you consent to the use of all cookies. If you would like to know more or opt out of all or some cookies select "Manage Cookies". Learn more
10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ พร้อมราคาอัปเดต

10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ พร้อมราคาอัปเดต สำหรับใครที่กำลังมองหากระเป๋าแบรนด์เนมใบแรกแต่มีงบจำกัด SF Brandname เราได้คัดสรร กระเป๋า 10 รุ่น ยอดฮิตจากแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Gucci, Prada, Saint Laurent, Celine และ Dior ที่ทั้งดีไซน์สวย ใช้งานง่าย เหมาะกับมือใหม่สุด ๆ
ซึ่งกระเป๋าเหล่านี้นอกจากดีไซน์หรูหราแล้ว ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะสมกับชีวิตประจำวัน ใส่ของจำเป็นได้ครบ รวมทั้งราคาที่จับต้องได้ อีกทั้งบางรุ่นยังเป็นรุ่นคลาสสิก คุ้มค่าสำหรับการลงทุน ขายต่อก็ได้กำไร มาติดตามพร้อมกันเลยว่ากระเป๋า 10 รุ่นที่ว่า มีรุ่นไหนกันบ้าง
10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก
1. Louis Vuitton Speedy Bandoulière 30
แบรนด์ : Louis Vuitton (หลุยส์ วิตตอง)
รุ่น : Speedy Bandoulière 30 (มีสายสะพาย)
กระเป๋า Louis Vuitton Speedy ถือเป็นรุ่นคลาสสิกระดับตำนาน เปิดตัวครั้งแรกในปี 1930 และยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ดีไซน์ทรงหมอนขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ทำจากผ้าใบเคลือบลายโมโนแกรม (Monogram Canvas) ตัดแต่งด้วยหนังแท้สีอ่อน ดูหรูหราแต่ทนทาน เหมาะกับการใช้งานในทุก ๆ วัน
สำหรับ Speedy รุ่น Bandoulière นั้น จะมาพร้อมสายสะพายยาวให้สะพายไหล่หรือสะพายข้างได้ เพิ่มความสะดวกคล่องตัว (ต่างจากรุ่น Speedy ปกติที่ถือได้อย่างเดียว) ถือว่าเป็นการผสมผสานความหรูและฟังก์ชันที่ลงตัว สำหรับมือใหม่ที่อยากได้กระเป๋าใบแรกที่ใช้ได้บ่อยและไม่มีวันตกยุค
- ราคามือหนึ่งปี 2025 : ประมาณ 71,500 บาท สำหรับขนาด 30 ลายโมโนแกรม (Speedy มีหลายขนาด เช่น 25, 30, 35 ตัวเลขคือความยาวเป็นเซนติเมตร)
- ราคามือสอง : อยู่ที่ราว 20,000 – 40,000 บาท ขึ้นกับสภาพและปีที่ผลิต (เช่น รุ่นวินเทจ สภาพดีราคาขายอาจอยู่ที่ประมาณ 22,900 บาท
- ความคุ้มค่า : Speedy เป็นกระเป๋าที่ครองใจคนทั่วโลกเกือบศตวรรษ ด้วยดีไซน์คลาสสิกไม่ตกยุค มีหลายวัสดุให้เลือก (ทั้ง Monogram, Damier และหนัง Epi) และเป็นที่ต้องการในตลาดมือสองเสมอ การได้เป็นเจ้าของกระเป๋า Speedy สักใบ ถือว่าคุ้มค่า ใช้งานทนทาน และหากดูแลรักษาเป็นอย่างดี สามารถขายต่อในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสองได้ในราคาสูงอีกด้วย
2. Louis Vuitton Neverfull MM
แบรนด์ : Louis Vuitton
รุ่น : Neverfull ขนาด MM (Medium)
Louis Vuitton Neverfull คือกระเป๋าสไตล์โท้ท (Tote) ที่ขึ้นชื่อเรื่องจุของได้ “ไม่มีวันเต็ม” สมชื่อรุ่น เปิดตัวครั้งแรกปี 2007 และกลายเป็นกระเป๋ายอดนิยมของ LV อย่างรวดเร็ว
ดีไซน์เรียบหรูเป็นกระเป๋าสะพายไหล่ทรงเปิดโล่ง มีสายหนังบาง ๆ สองเส้นที่สามารถปรับรูดด้านข้างเพื่อปรับทรงกระเป๋าได้ โดดเด่นตรงที่ใส่ของได้เยอะ น้ำหนักเบา และ สารพัดประโยชน์ มาก จะถือไปเรียน ไปทำงาน หรือไปเที่ยวก็เอาอยู่ ภายในมาพร้อม pouch กระเป๋าซิปใบเล็กที่สามารถถอดได้ (บางคนใช้เป็นกระเป๋าคล้องมือใบจิ๋วได้เลย) วัสดุมีทั้งลายโมโนแกรม, Damier (ตารางสีน้ำตาล/ขาว) และรุ่นหนังล้วน ความคลาสสิกของ Neverfull คือใช้กี่ปีก็ไม่เชย แถมทนทานสมบุกสมบันมาก เป็นกระเป๋าที่มือใหม่แบรนด์เนมทั่วโลกต้องมี
- ราคามือหนึ่ง 2025 : ขนาด MM ประมาณ 68,500 บาท (รุ่น PM เล็กกว่านี้ ~66,000 บาท และ GM ใหญ่สุด ~70,500 บาท) หากเป็นรุ่นลิมิเต็ดลวดลายพิเศษ ราคาจะสูงขึ้น (เริ่ม ~76,000 ไปจน 100,000+ บาท)
- ราคามือสอง : ประมาณ 30,000 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพและปีที่ผลิต เช่น Neverfull Damier Ebene MM สภาพสวยๆ มีขายราว 49,900 บาท และหากเป็นใบเก่ากว่า (ปีเกือบสิบปี) อาจหาได้ในช่วง 15,000 – 25,000 บาทตามสภาพ
- ความคุ้มค่า : Neverfull เป็นใบที่ ใช้งานง่ายสุดๆ และจุของเยอะมาก – เอกสาร โน้ตบุ๊ก ร่ม ขวดน้ำ ใส่ได้หมด การออกแบบเรียบพื้นฐานทำให้เข้าได้กับทุกลุคตั้งแต่ชุดนักศึกษาไปจนถึงสูททำงาน ถือใบเดียวเอาอยู่ทุกโอกาสจริง ๆ นอกจากนี้ LV มักปรับขึ้นราคาทุกปี กระเป๋ารุ่นฮิตอย่าง Neverfull ก็มีแนวโน้มราคาขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นซื้อมาใช้สักพักขายต่อก็แทบไม่ขาดทุน ถือว่าเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับมือใหม่
3. Gucci GG Marmont Matelassé (Small)
แบรนด์ : Gucci (กุชชี่)
รุ่น : GG Marmont แบบสายโซ่ (Size Small)
Gucci Marmont เป็นกระเป๋ารุ่นฮิตยุคใหม่ของ Gucci ที่เปิดตัวปี 2016 และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นคือดีไซน์ฝาปิดพร้อมอะไหล่โลโก้ตัว Double G ขนาดใหญ่แบบวินเทจ ด้านตัวกระเป๋าทำจากหนังวัวลายเย็บนูนแบบ Matelassé ลวดลายเชฟรอน (Chevron) ให้สัมผัสนุ่มมือและดูหรูหรา อะไหล่เป็นสีทองเหลืองโทนวินเทจเข้ากับโลโก้ได้อย่างลงตัว
รุ่นยอดนิยมสำหรับมือใหม่คือทรง Shoulder Bag ขนาด Small ซึ่งมีสายสะพายโซ่ยาว (สามารถสะพายไหล่หรือ Crossbody ได้ โดยสายโซ่ปรับได้สองระดับ) ขนาดกำลังดีใส่มือถือ กระเป๋าสตางค์ใบยาว และของจุกจิกได้ครบ แถมมิกซ์เข้ากับชุดได้ง่ายตั้งแต่ลุคชิลในชีวิตประจำวันจนถึงชุดออกงานกลางคืน เรียกว่าทั้งสวยและเต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอยเลยทีเดียว
- ราคามือสอง : ประมาณ 45,000 – 50,000 บาท สำหรับสภาพสวย รุ่นนี้ในตลาดมือสองมีค่อนข้างเยอะเพราะเป็นที่นิยมมาก เช่นข้อมูลปี 2024 พบว่าราคามือสองเฉลี่ยราว 46,000 บาท (ถ้าสภาพใหม่มาก ๆ หรือสียอดนิยม อาจสูงกว่านี้เล็กน้อย)
4. Saint Laurent (YSL) Wallet on Chain
แบรนด์ : Saint Laurent (แซงต์ โลรองต์)
รุ่น : Monogram Wallet on Chain (WOC) ขนาด 7.5 นิ้ว
กระเป๋า Saint Laurent Wallet on Chain หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า YSL WOC เป็นกระเป๋าสตางค์มีสายโซ่ที่สามารถใช้เป็นกระเป๋าสะพายข้างได้ในตัว เรียกได้ว่าเป็นรุ่น Two-in-one ที่ทั้งสวยและใช้งานได้จริง ดีไซน์เป็นทรงซองฝาปิดขนาดกะทัดรัด ทำจากหนังลูกวัวปั๊มลายเกรน (Grained Calfskin) ที่ทนรอยขีดข่วน ด้านหน้าประดับโลโก้ตัวอักษร YSL ทำจากโลหะ (มีทั้งอะไหล่สีเงินหรือสีทองให้เลือก) ลายตะเข็บบนหนังเป็นลาย Chevron ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สุดคลาสสิกของแบรนด์ YSL
ภายในจะพบช่องใส่บัตรหลายช่องและช่องซิป เหมือนกระเป๋าสตางค์ใบยาวย่อส่วน มาพร้อมสายโซ่ยาวถอดไม่ได้สำหรับสะพายไหล่/สะพายข้าง เหมาะกับใส่ของจำเป็นเช่น โทรศัพท์ มือถือรุ่นใหญ่บางรุ่นใส่ได้พอดี, เงิน, บัตร และลิปสติก เหมาะมากกับวันสบาย ๆ หรืองานที่ต้องการลุคเรียบหรูเรียบง่าย รุ่นนี้สาว ๆ วัยมหาลัยจนถึงวัยทำงานนิยมกันมากเพราะราคาไม่แรงเกินไปและสามารถใช้ได้หลากหลายโอกาส
- ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่น WOC ขนาดเล็ก (7.5 นิ้ว) อยู่ที่ประมาณ 59,900 บาท ส่วนขนาดใหญ่กว่า (9 นิ้ว) ราคาก็สูงขึ้นตามไป
- ราคามือสอง : ประมาณ 30,000 – 40,000 บาท โดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพและปี รุ่นนี้ค่อนข้างนิยมทำให้ขายต่อไม่ยาก เช่นที่ SF Brandname ราคาจำหน่ายยู่ที่ 35,900 บาท ในสภาพสวย
- ความคุ้มค่า : YSL WOC ถือว่าเป็นกระเป๋าที่เหมาะกะบใครที่กำลังเริ่มต้นใช้แบรนด์เนม เพราะได้ทั้งกระเป๋าสตางค์และกระเป๋าสะพายในใบเดียว วัสดุหนังทนทานไม่ต้องกลัวเป็นรอยง่าย ๆ ขนาดเล็กกำลังดี เข้าได้กับหลายลุค ตั้งแต่ลำลองจนกึ่งทางการ มือใหม่ที่ยังไม่อยากลงทุนกับกระเป๋าใบใหญ่ราคาแพง การเริ่มที่ WOC ใบนี้ถือว่าได้ใช้คุ้มค่าแน่นอน และหากต้องการขายต่อ ก็สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ
5. Saint Laurent (YSL) Lou Camera Bag
แบรนด์ : Saint Laurent (แซงต์ โลรองต์)
รุ่น : Lou Camera Bag (รุ่นกล้อง)
YSL Lou Camera Bag เป็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมขอบมนขนาดกะทัดรัด พร้อมสายสะพายยาว ปรับความยาวได้ ดีไซน์ได้แรงบันดาลใจจากกระเป๋ากล้องถ่ายรูปวินเทจ จึงทั้งเท่และใช้งานง่ายค่ะ ตัวกระเป๋าทำจากหนังลูกวัวลายควิลท์ (quilted calfskin) ลายทางขวางและลาย Chevron ผสมกัน ดูมีมิติ ด้านหน้าประดับโลโก้ Cassandre ตัวอักษรย่อ YSL โลหะสีทองตรงกลางเด่นชัด และห้อยพู่หนังแต่งเพิ่มความเก๋
- ราคามือสอง : ประมาณ 30,000 – 40,000 บาท ขึ้นกับสภาพ รุ่นนี้มีมือสองให้เลือกเยอะเช่นกัน บางร้านค้าออนไลน์ ตั้งราคาจำหน่ายล่าสุดเริ่มต้นที่ 34,500 บาท ซึ่งถือว่าน่าสนใจมากสำหรับคนงบจำกัด
6. Prada Re-Edition 2005 (Re-Nylon)
แบรนด์ : Prada (ปราด้า)
รุ่น : Re-Edition 2005 (กระเป๋าไนลอนสะพายไหล่ + สายยาว)
กระเป๋า Prada Re-Edition 2005 คือการนำกระเป๋าทรงฮิตของ Prada ในปี 2005 กลับมาทำใหม่อีกครั้ง โดยใช้วัสดุไนลอนรีไซเคิล (Re-Nylon) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตกแต่งด้วยหนัง Saffiano ตามจุดต่าง ๆ
ดีไซน์ทรง hobo ครึ่งวงพระจันทร์ขนาดเล็กน่ารัก มาพร้อมสายโซ่สั้นถอดได้หนึ่งเส้นสำหรับคล้องแขนเก๋ ๆ และมีสายสะพายไนลอนยาวปรับระดับได้สำหรับสะพายไหล่หรือสะพายข้าง นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นคือ กระเป๋าใบเล็กจิ๋ว ที่ติดมากับสายสะพายยาว ใช้เก็บของชิ้นเล็ก ๆ อย่างเหรียญหรือกุญแจได้ (หลายคนชอบความเก๋ตรงกระเป๋าจิ๋วนี้มาก)
- ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่น Re-Edition 2005 Re-Nylon ราคาจำหน่ายในประเทศไทยประมาณ 72,000 บาท ราคามือหนึ่ง 2025 (ข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการ Prada ประเทศไทย) – หมายเหตุ : Prada ยังมีรุ่นคล้ายกันที่เป็น Re-Edition 2000 ทรงสะพายไหล่สายสั้นไม่มีสายยาว ซึ่งจะราคาถูกกว่าประมาณ 48,000 บาท แต่สำหรับมือใหม่แนะนำรุ่น 2005 ที่มีสายยาวจะใช้ได้หลากหลายกว่า
7. Prada Galleria Saffiano (Small Tote)
แบรนด์ : Prada
รุ่น : Galleria (Small) หรือที่มักเรียกกันว่า Prada Saffiano Double Zip
หากคุณเป็นมือใหม่ที่มองหากระเป๋าทรงสุภาพสำหรับถือไปทำงานหรือโอกาสทางการ Prada Galleria หรือ Prada Saffiano คือคำตอบที่ลงตัวค่ะ รุ่นนี้เปิดตัวครั้งแรกช่วงปี 2013 และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “กระเป๋าคลาสสิก” ของ Prada คู่กับรุ่น Prada Double Cuir
ดีไซน์กระเป๋าเป็นทรงสี่เหลี่ยมฐานกว้าง มีความแข็งแรงทรงอยู่ตัว ทำจากหนัง Saffiano ซึ่งเป็นหนังวัวเคลือบลายไขว้อันเป็นเอกลักษณ์ของ Prada (คุณสมบัติคือทนรอยขีดข่วนและกันน้ำกระเซ็นได้ดี) รายละเอียดการออกแบบหรูหราและเน้นฟังก์ชันมาก เช่น มีช่องซิปด้านบน 2 ช่อง (Double Zip) สำหรับเก็บของสำคัญแยกต่างหาก, มีสายสะพายหนังยาวแถมมาให้ถอดเข้า-ออกได้สำหรับสะพายไหล่, หูจับคู่ทรงโค้งถือถนัดมือ
มาพร้อมพวงกุญแจคล้องห้อยหนัง (clochette) ใส่กุญแจล็อก และหมุดรองฐานกระเป๋าป้องกันรอยขีดข่วนเวลาวางกระเป๋า ภายในกระเป๋ากว้างขวางและมีซับในผ้าโลโก้ Prada จัดของเป็นสัดส่วนง่าย เหมาะกับการใช้เป็นกระเป๋าทำงานที่ทั้งสวยหรูและใช้งานได้จริง
- ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่น Small Galleria ปัจจุบันราคาค่อนข้างสูง (อยู่ที่ประมาณ 130,000 – 150,000 บาท หรือ $4,000+ ขึ้นอยู่กับประเทศ
- ราคามือสอง : ในตลาดมือสองสามารถหาได้ในงบประมาณ 40,000 – 60,000 บาท เนื่องจากรุ่นนี้มีมานานและมีผู้ใช้อยู่มาก ราคามือสองจึงลดลงมาในราคาที่ใคร ๆ ก็สามารถจับต้องได้ เช่น Prada Saffiano Galleria มือสองสภาพดีบางใบราคาประมาณ $1,450 (ประมาณ 50,000 บาท) ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับมือใหม่ที่อยากได้กระเป๋าทำงานแบรนด์เนมหรู ๆ สักใบโดยไม่ต้องจ่ายราคาเต็ม
- ความคุ้มค่า : Prada Galleria มีจุดแข็งที่ ความคลาสสิกและสุภาพ ใช้ถือไปทำงานหรือออกงานทางการได้อย่างมั่นใจ ไม่มีเอาต์ง่าย ๆ เพราะทรงเรียบหรูดูผู้ดี เหมาะกับชุดสูทหรือเดรสเรียบร้อย อีกทั้งหนัง Saffiano ยังทนทาน ดูแลง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยขีดข่วนมากนัก ถือว่าเป็นกระเป๋าลงทุนระยะยาวที่ใช้ได้อีกหลายปี ในแง่การขายต่อ แม้ราคามือหนึ่งจะสูงและมือสองตกลงมาพอควร แต่ถ้าเราซื้อมาในราคามือสองที่ไม่แรงมาก ก็มีโอกาสขายต่อได้ใกล้เคียงทุนอยู่เหมือนกัน (โดยเฉพาะสีเบสิกอย่างสีดำที่ความต้องการสูง) สำหรับมือใหม่ที่เริ่มทำงานแล้วอยากมีกระเป๋าแบรนด์เนมใบคลาสสิกติดตู้ Prada Galleria มือสองเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียว
8. Celine Ava (Triomphe Canvas)
แบรนด์ : Celine (เซลีน)
รุ่น : Ava Bag (Triomphe Canvas)
Celine Ava เป็นกระเป๋าทรงครึ่งวงพระจันทร์ (hobo) ขนาดเล็กของ Celine ที่มาแรงมากตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในคอลเลคชั่น Spring/Summer 2020 ภายใต้การออกแบบของครีเอทีฟไดเรกเตอร์ Hedi Slimane
กระเป๋ารุ่นนี้โดดเด่นที่ดีไซน์ เรียบง่ายแต่เก๋ไก๋ แบบมินิมอลตามสไตล์เซลีน เส้นสายโค้งมนสะอาดตา ไม่มีอะไรฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น แต่กลับดูทันสมัยและชิคสุด ๆ เหมาะกับการใช้งานทุกวัน รุ่นที่ได้รับความนิยมที่สุดคือรุ่นผ้าแคนวาสลาย Triomphe สีน้ำตาล (ลายโมโนแกรมของ Celine ที่เป็นรูปแบบแม่กุญแจเกี่ยวกัน) ตัดขอบด้วยหนังสีน้ำตาล ได้ลุควินเทจเบา ๆ แมตช์กับชุดได้หลากหลายแนว จะลุคหวาน ลุคเท่ หรือลุควินเทจก็เข้าได้หมด
- ราคามือสอง : อยู่ที่ประมาณ 40,000 – 80,000 บาท ขึ้นกับสภาพและปีที่ผลิต โดยถ้าเป็นรุ่นผ้าใบ Triomphe มักจะอยู่ช่วงล่าง ๆ ของงบนี้ (ประมาณ 40-50k สำหรับสภาพดี) ตัวอย่างเช่นที่ SF Brandname มีจำหน่าย Celine Ava Medium มือสองสภาพสวยอยู่ที่ 37,900 – 39,900 บาท
9. Celine Luggage Tote (Nano)
แบรนด์ : Celine
รุ่น : Luggage Tote ไซส์ Nano
Luggage Tote เป็นกระเป๋าทรงถือที่สร้างชื่อเสียงให้ Celine อย่างมาก สร้างสรรค์โดยดีไซเนอร์คนดัง Phoebe Philo เปิดตัวครั้งแรกในปี 2010 และกลายเป็นกระเป๋าใบโปรดของเหล่าเซเลบและแฟชั่นนิสต้าทันทีที่ออกมา ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ทรงสี่เหลี่ยมมีปีกข้างยื่นออกเล็กน้อย และดีไซน์ซิปกับหูจับที่มองดูคล้าย “หน้าคนยิ้ม” ทำให้ Luggage Tote เป็นที่จดจำได้ง่ายมาก ไม่มีใครเหมือน วัสดุของรุ่นนี้ส่วนใหญ่เป็นหนังลูกวัว ทั้งแบบหนังเรียบและหนังลายเกรน (grained calfskin) ซึ่งมีความคงทนแข็งแรงสูง เหมาะกับการใช้งานจริงจังตั้งแต่เช้าจรดเย็น
10. Dior Saddle Bag
แบรนด์ : Dior (ดิออร์)
รุ่น : Saddle Bag (Oblique Canvas)
ปิดท้ายด้วย Dior Saddle Bag กระเป๋าทรงอานม้าที่เป็นตำนานยุค Y2K และกลับมาฮิตอีกครั้งในปัจจุบัน รุ่นนี้ออกแบบโดย John Galliano เปิดตัวครั้งแรกปี 1999 โดยตั้งใจให้เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ และโด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อปรากฏในซีรีส์ Sex and the City ยุค 2000’s (เป็นกระเป๋าคู่ใจของตัวละคร Carrie Bradshaw) หลังจากนั้นไม่ว่าจะเหล่าเซเลบอย่าง Paris Hilton, Beyoncé ก็ล้วนถือ Saddle ออกสื่อ ทำให้ยอดขายพุ่งกว่า 60% ในปี 2001 เลยทีเดียว
หลังห่างหายไปพักใหญ่ Dior Saddle ถูกนำกลับมา re-born ใหม่ในปี 2018 เสริมลูกเล่นทันสมัย เช่น มีสายสะพายแบบผ้าแจ็คการ์ดเส้นหนาให้ซื้อเพิ่มเพื่อสะพาย Crossbody ได้ (ไม่ต้องถือคล้องแขนอย่างเดียวเหมือนรุ่นดั้งเดิม) และออกลวดลาย/วัสดุใหม่ๆ ทั้งหนังเรียบ หนังปักลาย และผ้าแคนวาส Oblique (ลายโมโนแกรมตัวอักษร Dior) ที่ทุกคนจำได้ดี ตอนนี้เราจะเห็นสาว ๆ และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกสะพาย Dior Saddle กันเกลื่อนฟีด ถือเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ของกระเป๋ารุ่นนี้เลยทีเดียว
- ราคามือหนึ่ง 2025 : Dior Saddle ไซส์มาตรฐาน (สายสั้น) ประมาณ 105,000 บาท ถ้าเป็นรุ่นมีสายยาว (สายแคนวาสเส้นหนาที่มักขายแยก) ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย ถือว่าเกินงบมือใหม่ไปพอสมควร
- ราคามือสอง : มีช่วงราคากว้างมาก ตั้งแต่ประมาณ 25,000 บาท (สำหรับรุ่นเก่าแท้มือสองสภาพผ่านการใช้งาน หรือรุ่น Mini เล็กๆ) ไปจนถึงราว 75,000 – 80,000 บาท สำหรับใบสภาพสวยใหม่ ๆ อย่างเช่นในประเทศไทย กระเป๋า Dior Saddle Oblique สภาพดี ปีใหม่ ๆ มักตั้งขายกันประมาณหกหมื่นบาทต้น ๆ ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่าการซื้อกระเป๋าใบใหม่อย่างมาก
- ความคุ้มค่า : ถ้าใจรัก Dior และชื่นชอบดีไซน์สุดชิคของ Saddle Bag จะบอกว่ารุ่นนี้ “น่าลงทุน” ก็ไม่ผิดนัก เพราะมันเป็น กระเป๋าไอคอนิก ของ Dior ที่ผ่านการพิสูจน์ความฮิตมาแล้วถึงสองยุคสองสมัย การกลับมาครั้งนี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่า Saddle เป็นดีไซน์ที่ยืนหยัดเหนือกาลเวลา ใครถือก็รู้ว่าเป็น Dior ชัดเจน แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าทรงอานม้ามีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัดและรูปทรงโค้งอาจไม่ใช่สไตล์ของทุกคน แนะนำสำหรับมือใหม่ที่ชอบแฟชั่นสายเท่ กล้าแต่งตัว และอยากได้กระเป๋าที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครจริง ๆ หากงบไม่ถึงของใหม่ ลองมองหาในตลาดมือสอง จะได้ราคาที่น่ารักกว่าเยอะ และในอนาคตถ้ารักษาดี ๆ ราคาก็ไม่น่าตกมาก (บางใบอาจราคาขึ้นด้วยซ้ำหากกลายเป็นแรร์ไอเท็ม) อย่างไรก็ตาม ซื้อมาแล้วรับรองว่าได้ใช้สะพายอวดความเก๋อย่างคุ้มค่าแน่นอน
10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก ทั้ง 10 รุ่นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมไฮเอนด์ที่เหมาะกับการเริ่มต้นสะสมสำหรับมือใหม่ แต่ละใบมีเอกลักษณ์และข้อดีต่างกันไป ไม่ว่าจะชอบสายหวาน สายเท่ สายมินิมอล หรือสายหรูหรา ก็มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ภายใต้งบประมาณที่จับต้องได้เมื่อเทียบกับแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์อื่น ๆ
แต่อย่าลืมว่าการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมคือการลงทุนอย่างหนึ่ง ควรเลือกใบที่เราชอบและเข้ากับสไตล์การใช้ชีวิตของเราจริง ๆ จะได้ใช้มันอย่างมีความสุขและคุ้มค่าที่สุด สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนสนุกกับการเลือกซื้อกระเป๋าใบแรกนะคะ และหวังว่าเพื่อนๆ จะได้ “กระเป๋าในฝัน” ที่ทั้งถูกใจและใช้ได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปค่ะ
